Bloodline (2004)
สายเลือดเชือดสยอง
กำกับและเขียนบท: Keith Coulouris และ David Schrader
นำแสดง: Clay Adams (Travis), Josh Gibson (Henry – Teen), Bryan Smithson (Henry – Adult), Cherish Hamutoff (Lorraine), Jay Anthony (Al / Alan), Kenny Messer (Greg), David Matthiessen (Bobby)
ประเภท: Thriller / Horror
เรื่องราวของสองพี่น้อง Travis กับ Henry กับเหตุการณ์ฆาตกรรมสยองขวัญกลางป่าที่ทำให้ Travis กลายเป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นฆาตรกร ในขณะที่น้องชาย Henry หายตัวไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องราวชีวิตของ Travis ที่พยายามจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับผู้หญิงคนใหม่ บ้านใหม่ เมืองใหม่นั้นจะเป็นอย่างไร แล้วใครคือ ฆาตกรโหดเหี้ยมที่ลงมือฆ่าในวันนั้น ติดตามได้ใน Bloodline
Bloodline: สายเลือดเชือดสยอง
หนังสยองพล๊อตดี แต่ถ่ายทอดไม่ถึง…
จะเป็นยังไง ถ้าหากคุณแยกแยะระหว่างความจริง กับ จินตนาการไม่ออก? คำตอบสยองๆ อาจเกิดขึ้นได้ หากเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริง คุณอยู่ในโลกของความจริงที่วิจิตรภาพแห่งจิตนาการ เนื้อเรื่องของ Bloodline หรือชื่อภาษาไทยว่า สายเลือดเชือดสยอง พยายามจะบอกสิ่งเหล่านี้ครับ
Bloodline เป็นหนังเกรดบีแนวสยองเขย่าขวัญที่เน้นในเชิงจิตวิทยาอีกเรื่อง ที่มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ โดยหยิบยกประเด็นความรุนแรงที่มีมาตั้งแต่รุ่นผู้ปกครองที่สามารถถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานได้ บวกกับเรื่องราวพฤติกรรมของคนที่มีลักษณะจิตสับสนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือความจริง สิ่งใดคือภาพลวง ทว่าการถ่ายทอดยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะการลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ที่พยายามจะทำออกมาในแนวทางหนังเขย่าขวัญ สั่นประสาทสยองหักมุมแบบสุดๆ กะให้ผู้ชมอึ้งในตอนเฉลยท้ายเรื่อง แต่ผู้กำกับไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกแบบนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ตัวหนังที่เดินแบบยืดยาด และไร้เหตุผลในหลายเรื่องราว พาลทำให้ Bloodline กลายเป็นหนังเกรดบีที่มีความน่าเบื่อไม่น้อย ข้อดีหนึ่งข้อของหนังเรื่องนี้คือ การแสดงบทบาทของคนที่สับสน มีปมชีวิต และเห็นภาพหลอน เสียงหลอน ของ Clay Adams ที่รับบทเป็น Travis นั้น ทั้งการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางทำได้แบบสอบผ่านเลยครับ
แต่ถ้าใครชอบหนังในแบบมุมมองเชิงจิตวิทยาของพฤติกรรมความรุนแรงก็สามารถหามาดู มาศึกษาได้ว่า หากคิดจะทำหนังแล้ว บางครั้งพล๊อตเรื่องที่น่าสนใจแต่ถ่ายทอดออกมาห่วย หนังเรื่องนั้น ๆ ก็สามารถถูกขังลืมโดยไม่มีใครพูดถึงได้เลยเหมือนกัน
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 2.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies A - C Tagged with: รีวิวหนัง Bloodline, รีวิวหนังสยองขวัญ, รีวิวหนังเขย่าขวัญ, รีวิวหนังโรคจิต
The Butterfly Effect (2004)
กำกับและเขียนบท: Eric Bress และ J. Mackye Gruber
นำแสดง: Ashton Kutcher (Evan), Melora Walters (Andrea), Amy Smart (Kayleigh), Elden Henson (Lenny), William Lee Scott (Tommy), John Patrick Amedori (Evan at 13), Irene Gorovaia (Kayleigh at 13), Kevin G. Schmidt (Lenny at 13), Jesse James (Tommy at 13), Logan Lerman (Evan at 7), Sarah Widdows (Kayleigh at 7), Jake Kaese (Lenny at 7), Cameron Bright (Tommy at 7), Eric Stoltz (Mr. Miller), Callum Keith Rennie (Jason)
ประเภท: Thriller / Mystery / Sci-Fi
เนื้อเรื่องย่อจากปก: Evan (Ashton Kutcher) หลงเข้าไปในกาลเวลา ในช่วงแรก ๆ ช่วงสำคัญในชีวิตของเขา หายสาบสูญไปกับการหลงลืม ชีวิตวัยเด็กของเขา เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากมายที่เขาจำไม่ได้ สิ่งที่หลงเหลือ ก็คือวิญญาณร้ายของความทรงจำ และชีวิตที่แตกสลายรอบ ๆ ตัวเขา ซึ่งคือชีวิตของเพื่อนวัยเด็กของเขา ได้แก่ Kayleigh (Amy Smart), Lenny (Elden Henson) และ Tommy (William Lee Scott)
Evan เคยอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ ผู้ที่ซึ่งกระตุ้นให้เขาบันทึกรายวัน โดยจดรายละเอียดเหตุการณ์ในชีวิตของเขาแบบวันต่อวัน บัดนี้เขาอยู่ในมหาวิทยาลัย Evanได้อ่านบันทึกอันหนึ่งของเขา และพบว่าตัวเองถูกผลักให้ย้อนเวลากลับไปในทันใด เขากลับรู้ตัวว่า สมุดจดที่เขาเก็บเอาไว้ใต้เตียง เป็นยานพาหนะซึ่งเขาสามารถย้อนกลับไปยังอดีต และเตือนความทรงจำของเขาได้ แต่ความทรงจำเหล่านี้ ทำให้ Evan รู้สึกต้องรับผิดชอบ กับชีวิตที่พังยับเยินของเพื่อนๆ ของเขา โดยส่วนใหญ่จะเป็นชีวิตของ Kayleigh แฟนในวัยเด็กที่เขายังคงรักอยู่ Evan ตั้งใจเดินทางย้อนกลับไปในอดีต โดยตัดสินใจที่จะทำบางสิ่ง ที่เขาไม่สามารถทำได้ในเวลานั้น จิตใจในปัจจุบัน ได้ครอบครองร่างกายในวัยเด็กของเขา…
ด้วยความพยายามที่จะเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ และช่วยเหลือเพื่อน อีกทั้งคนรักของเขา Evan หวังที่จะเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนเหตุการณ์หลายอย่างในอดีต แต่ทุกครั้งที่อีแวนเปลี่ยนบางสิ่งในอดีต เมื่อเขากลับมายังปัจจุบัน เขาพบว่าการกระทำของเขา ทำให้เกิดผลที่ตามมาที่เกินคาดและร้ายแรง ด้วยความพยายามที่เขาสามารถ แต่ดูเหมือนว่า เขาจะไม่สามารถทำให้ความจริงที่ว่า เขาและ Kayleigh จะได้อยู่ด้วยกัน “อย่างมีความสุขตลอดกาล” ได้หรือไม่ ติดตามดูกันนะครับ
“Change one thing, change everything”
หนังเปิดเรื่องด้วยทฤษฎีโกลาหล (Chaos Theory) ที่ว่าแม้ผีเสื้อกระพือปีก ก็อาจส่งผลให้เกิดพายุกระหน่ำ สะเทือนทั้งผืนดินและฟ้าได้ เพื่อนๆ เชื่อมั้ยว่า ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราหน่ะมันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ และมีผลส่งต่อๆ กันไปเป็นทอดๆ เมื่อทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น การถ่ายเทผ่านกันก็เริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่จากหนึ่งไปสู่หนึ่ง แต่มันจะส่งผลแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีการส่งต่อ และอาจส่งผลกลับมายังจุดเริ่มต้นในแบบทวีคูณความรุนแรงในวงจรห่วงลูกโซ่ หรือที่เรียกว่า Butterfly Effect
หนัง Thriller ย้อนเวลา เล่นเรื่องราวของอดีต และปัจจุบัน ที่หลังจากออกฉายในปี 2004 ก็ได้รับการกล่าวถึง และยกย่องให้เป็นหนังยอดเยี่ยมแนว Thriller ผสมวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา และกลายเป็นหนึ่งในหนัง Thriller ขึ้นหิ้งอีกเรื่อง การนำทฤษฎีข้างต้นมาเล่าด้วยวิธีที่ให้เรื่องราวต่างๆ ไม่ยากเกินกว่าที่ผู้ชมจะเข้าถึง บวกกับพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัวที่มีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานด้วยความเป็นเหตุและผลได้อย่างพอเหมาะ แม้บางบทบางตอนอาจดูเปล่ง ๆ ไปบ้างก็ตาม แต่ก็มีส่วนเสริมด้วยความเป็นดราม่าเข้มข้นทำให้หนังดูน่าติดตาม และน่าสะเทือนใจในบางบทบางตอน
The Butterfly Effect ภาพยนตร์ที่กำลังแสดงให้คุณเห็นว่า แม้จะมีโอกาสกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ปัจจุบันและอนาคตดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย และหลายครั้งที่ทำให้เราเห็นได้ว่า ยิ่งแก้ไขมากเท่าไร สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยิ่งเลวร้ายหนักข้อขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า!
คนเราจะสามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้สักกี่ครั้งกันเชียว???
…คำตอบ คือ ไม่ได้เลยสักครั้ง หากทำได้ดีที่สุดคือสิ่งที่คุณทำในปัจจุบัน เพื่ออนาคตดีๆ ที่รอคุณอยู่
แต่หากลองคิดดูเล่นๆ ถ้าคุณกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ล่ะ…คุณจะแก้ไขในเรื่องใดบ้าง
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 5.50 / 6.00
ปล. อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ได้เพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Butterfly_effect หรือหาบทความเกี่ยวกับคุณ Edward Norton Lorenz (http://en.wikipedia.org/wiki/Edward_Lorenz) มาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies A - C Tagged with: รีวิวหนัง The Butterfly Effect (2004), รีวิวหนังเขย่าขวัญ