Scared (2005)
รับน้องสยองขวัญ
นำแสดง: ณปภา ตันตระกูล(แพท), ชิดจันทร์ รุจิพรรณ(พลอย), กอบกุลยา จึงประเสริฐศรี(เพื่อน), กัญญา รัตนเพชร(ลูกตาล), ชัชวาล สีดา(บอม), ธโนทัย เอื้ออมรรัตน์(เต้ย), บวรพจน์ ใจกันทา(ไม้), ภัณฑิลา ฟูกลิ่น(แอร์), ภาคย์ วรรณศิริ(ไผ่), วรรัตน์ นิยมเดช(โอปอ), วงษ์เทพ คุณารัตนวัฒน์(จอห์นสัน), สุมนต์รัตน์ วัฒนาเศลารัตน์(ปีใหม่), สุดปราชญ์ อึ้งตระกูล(โน้ต), อมรพรรณ กองตระการ(หมิว), อิทธินันท์ อุณหเทพารักษ์(ป๊อก) , อัจฉรา สว่างไว(อ้อม)
กำกับ และ เขียนบท: ภาคภูมิ วงษ์จินดา
ประเภท: Horror/Thriller
เนื้อเรื่องย่อ: รุ่นพี่คณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พารุ่นน้องกว่า 30 ชีวิต ไปรับน้องนอกสถานที่ แต่ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง รถบัสที่นำพาชีวิตนักศึกษาที่สดใส ได้เดินทางมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำกลางป่าลึก ซึ่งเป็นสะพานไม้ผุพังไม่มั่นคง ขณะที่รถบัสแล่นไปได้กลางสะพาน เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น สะพานไม้เกิดหักครืนลง รถบัสดิ่งลงสู่แม่น้ำที่เชี่ยวกราก ด้วยความสูงกว่า 50 เมตร นักศึกษาเกือบทั้งหมดต้องสังเวยชีวิตให้กับอุบัติเหตุครั้งนี้ มีเพียงส่วนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้
พวกเขาต้องเดินเท้าออกจากป่าลึก จนกระทั่งมาพบเมืองร้างกลางหุบเขา ที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย ณ สถานที่ลึกลับแห่งนี้เอง ที่พวกเขาได้เจอกับเหตุการณ์สยองขวัญ ซึ่งพรากชีวิตของเพื่อนๆ พวกเขาไปทีละคนอย่างโหดเหี้ยม ไม่มีใครบอกได้ว่า พวกเขาไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นฝีมือของใครที่จ้องทำลายชีวิตพวกเขา คนที่รอดชีวิตกลับมาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้คืออะไร…
อิทธิพลของหนัง
ใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงอะไรบ้างครับ…วิธีการฆ่า, มุมกล้อง, อุปกรณ์การฆ่า, บุคลิกของนักฆ่า, เครื่องแต่งการของนักฆ่า, บรรยากาศและสถานที่ถ่ายทำ, สัญชาติญาณดิบของเหยื่อ…มันคุ้นๆ อะไรบ้างมั้ย…จะว่าไป หนังสยองที่ออกมาไล่ฆ่าคนอย่างไร้สติมีออกมามากมาย จนกระทั่งทำให้ผู้กำกับนึกมุขไม่ออกว่าจะให้มันออกมาเป็นทิศทางไหนดี แต่ทว่าไปแล้วสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ผู้กำกับภาคภูมินำเอาหนังสยอง(ดังๆ) หลายๆ เรื่องผสมปนเปกันจนเรียกได้ว่า “ไม่สร้างสรรค์” โหดแบบไร้สติ ฉากวิธีการฆ่า ไล่ล่า จากหนังดังๆ เช่น I know What You Did Last Summer, Battle Royal , The Texas Chainsaw จนถึงหนังสยองสุดคัลต์อย่าง Haute Tension และฉากโหดบางฉากผมยังไปนึกถึงผลงานของ Takashi Miike อีกด้วย มุขต่างๆ ถูกนำมาประเคนใส่หนังของตนเองซะจนน่าสะอิดสะเอียน บทหนังไร้เหตุผลไร้น้ำหนัก มีอยู่มากมายในเรื่อง อาทิ เด็กนักศึกษาสาวที่มีบทให้รอดตายก็ดูจะเข้มแข็งและแข็งแรงผิดมนุษย์ ขนาดโดนฆาตรกรโหดทำร้ายซะสาหัส ท้ายสุดขับรถยิ้มแฉ่ง เริงร่าอย่างน่าสงสัย “เฮ้ย โดนไปตั้งเยอะ ไม่เจ็บเหรอไงวะ?@!?” หรืออย่างมารับน้องนอกสถานที่ทั้งที ยังใส่ชุดนักศึกษากันอีกเหรอเนี่ย?@!? หรืออย่าง หนังสมัยใหม่ขนาดนี้ เด็กนักศึกษาสาวก็เห็นพกโทรศัพท์มือถือคุยอยู่ในรถบัส แต่พอเวลาฉุกเฉินกลับไม่มีใครนึกถึงโทรศัพท์มือถือกันเลยหรือไง?@!? หรืออย่างฉากการไล่ล่า เพื่อนตายมาแล้วไม่รู้กี่ศพ แต่พอนักศึกษาเข้าไปเจอมินิมาร์ทกลับแกะห่อขนมกินเล่นกันอย่างสนุกสนาน หน้าตาเฉย แบบว่า…”เฮ้ย เพื่อนเอ็งตายไปแล้วตั้งกี่คน ยังเล่นกันได้แบบนี้อีกเหรอวะ?@!?” เรียกว่าจุดอ่อนตรงนี้ของ ภาคภูมิ มีเพียบครับ หากจะสร้างหนังสยองขวัญเรื่องต่อไป คงต้องทำการบ้านอีกเยอะ
ฉากและการถ่ายทำ
หาทำเลดีอยู่ครับ ทั้งฉากในป่า มินิมาร์ท แม่น้ำไหลเชี่ยว ดูเงียบงัน และให้บรรยากาศน่ากลัวดี แต่ทว่าบางฉาก กลับทำได้ไม่สมจริงเลย อย่างฉากที่รถบัสกำลังจะตกจากสะพาน ภาพฉายออกมาราวกับรถกระป๋องจำลองห้อยอยู่ได้อย่างน่าตลกสิ้นดี หรืออย่างการถ่ายทำจากการจะเข้าไปรับน้องอยู่ในป่า สักพักก็ดันไปเจอเหมือนโรงงานร้างขนาดใหญ่โต (ซะงั้น -_-‘) ราวกับโรงงานอุตสาหกรรม ที่ไม่น่าจะอยู่ในป่าเลย หากเป็นโรงนาอยู่ตามธรรมชาติก็ว่าไปอย่าง หรืออย่างมินิมาร์ท (ใหม่เอี่ยมและสุดหรูหรา) กลางป่าทึบ แต่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกลับเป็นโรงงานร้าง ออฟฟิศร้างเก่า(โคตร) ห้องน้ำโสยิ่งกว่าห้องน้ำตามปั๊มในต่างจังหวัดหรือตามโรงเรียน(ที่เด็กนั่งมั่วสุมดูดบุหรี่) อีก ซึ่งไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวผ่านมาบริเวณนั้นได้เลย…แต่พี่ภาคภูมิก็ “จัดห้ายย” ในแบบ “งงๆ” ไร้เหตุผลสิ้นดีครับ
ประเด็นดีๆ ที่มีอยู่
เนื้อเรื่องพยายามสอดแทรกประเด็นดีๆ (ที่มีอยู่น้อยนิดและเบาบาง) เข้าไปในหนังด้วย
– ในเรื่องของการเชื่อฟังแม่ สิ่งที่แม่เตือน แม่เป็นห่วงนั้นสำคัญ โดยเฉพาะเด็กสมัยนี้ที่ติดเพื่อน บูชาเพื่อนและเคารพรุ่นพี่ ยิ่งกว่า พ่อแม่ของตัวเองซะอีก เป็นจุดเตือนใจที่ดี
– ฉากการรับน้อง บรรยากาศการว๊ากที่ทำให้เรานึกถึงตอนวัยรุ่นได้ดี ยิ่งฉากบายศรีทำได้ทีเดียว เป็นประเพณีที่ปัจจุบันยังคงรักษาไว้
– เรื่องราวของการเคารพเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่กล่าวไว้ในตอนต้นเรื่องถึง ประตูผี เจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่หากเราไปที่ไหนก็ควรเคารพ และบอกกล่าวท่านไว้ก่อนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากใครลบหลู่ ดูหมิ่นแล้วนั้น สิ่งไม่ดีก็จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ตอนจบ
ผู้กำกับเล่นกับกระแส Reality Game Show ที่คนฮิตกันเหลือเกิน กับการ Vote SMS เพื่อสั่งให้ผู้เล่นเกมอยู่ต่อ หรือ ออก (ตาย) ฉากจบหักมุมโดยการฉายภาพมาที่เด็กน้อยตัวเล็ก (ผู้หญิง) ยืนกดโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งผมว่า ผู้กำกับกะจะกระฉากอารมณ์คนดูให้รู้สึกว่า แม้กระทั่งสาวน้อยตัวเล็กยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้เล่นเกม (นักศึกษาที่กำลังผจญฆาตรกรในป่า) ซึ่งกระฉากอารมณ์ได้โหดร้ายแบบไร้สาระสุดๆ คงจะเป็น Reality Game Show ที่เล่นกันวันเดียวจบ สั่งเป็นสั่งตายได้เหมือนใบสั่งจากศาล หรือสรรพากร ตอนจบผมว่าผู้กำกับภาคภูมิคิดดีครับ ไอเดียดี แต่สื่อสารออกมาได้ไร้น้ำหนักและไม่เข้าท่าเอาซะเลย
หนังเรื่องนี้ถูกฉายเมื่อปลายปี 48 ครับ ผมเองซึ่งพลาดการดูในโรงมาแล้ว (เข็ดกับหนังสยองไทยเหลือเกิน) ตอนนี้หากใครสนใจก็คงต้องไปเช่าดีวีดี/วีซีดีมาดูกันได้ครับ… หนังที่ดูได้เพลินๆ อย่าไปคาดหวังอะไรให้มากมายละกัน…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 3.00 / 6.00
Powered by Facebook Comments