Scared (2005)
รับน้องสยองขวัญ
นำแสดง: ณปภา ตันตระกูล(แพท), ชิดจันทร์ รุจิพรรณ(พลอย), กอบกุลยา จึงประเสริฐศรี(เพื่อน), กัญญา รัตนเพชร(ลูกตาล), ชัชวาล สีดา(บอม), ธโนทัย เอื้ออมรรัตน์(เต้ย), บวรพจน์ ใจกันทา(ไม้), ภัณฑิลา ฟูกลิ่น(แอร์), ภาคย์ วรรณศิริ(ไผ่), วรรัตน์ นิยมเดช(โอปอ), วงษ์เทพ คุณารัตนวัฒน์(จอห์นสัน), สุมนต์รัตน์ วัฒนาเศลารัตน์(ปีใหม่), สุดปราชญ์ อึ้งตระกูล(โน้ต), อมรพรรณ กองตระการ(หมิว), อิทธินันท์ อุณหเทพารักษ์(ป๊อก) , อัจฉรา สว่างไว(อ้อม)
กำกับ และ เขียนบท: ภาคภูมิ วงษ์จินดา
ประเภท: Horror/Thriller
เนื้อเรื่องย่อ: รุ่นพี่คณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พารุ่นน้องกว่า 30 ชีวิต ไปรับน้องนอกสถานที่ แต่ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง รถบัสที่นำพาชีวิตนักศึกษาที่สดใส ได้เดินทางมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำกลางป่าลึก ซึ่งเป็นสะพานไม้ผุพังไม่มั่นคง ขณะที่รถบัสแล่นไปได้กลางสะพาน เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น สะพานไม้เกิดหักครืนลง รถบัสดิ่งลงสู่แม่น้ำที่เชี่ยวกราก ด้วยความสูงกว่า 50 เมตร นักศึกษาเกือบทั้งหมดต้องสังเวยชีวิตให้กับอุบัติเหตุครั้งนี้ มีเพียงส่วนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้
พวกเขาต้องเดินเท้าออกจากป่าลึก จนกระทั่งมาพบเมืองร้างกลางหุบเขา ที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย ณ สถานที่ลึกลับแห่งนี้เอง ที่พวกเขาได้เจอกับเหตุการณ์สยองขวัญ ซึ่งพรากชีวิตของเพื่อนๆ พวกเขาไปทีละคนอย่างโหดเหี้ยม ไม่มีใครบอกได้ว่า พวกเขาไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นฝีมือของใครที่จ้องทำลายชีวิตพวกเขา คนที่รอดชีวิตกลับมาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้คืออะไร…
อิทธิพลของหนัง
ใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงอะไรบ้างครับ…วิธีการฆ่า, มุมกล้อง, อุปกรณ์การฆ่า, บุคลิกของนักฆ่า, เครื่องแต่งการของนักฆ่า, บรรยากาศและสถานที่ถ่ายทำ, สัญชาติญาณดิบของเหยื่อ…มันคุ้นๆ อะไรบ้างมั้ย…จะว่าไป หนังสยองที่ออกมาไล่ฆ่าคนอย่างไร้สติมีออกมามากมาย จนกระทั่งทำให้ผู้กำกับนึกมุขไม่ออกว่าจะให้มันออกมาเป็นทิศทางไหนดี แต่ทว่าไปแล้วสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ผู้กำกับภาคภูมินำเอาหนังสยอง(ดังๆ) หลายๆ เรื่องผสมปนเปกันจนเรียกได้ว่า “ไม่สร้างสรรค์” โหดแบบไร้สติ ฉากวิธีการฆ่า ไล่ล่า จากหนังดังๆ เช่น I know What You Did Last Summer, Battle Royal , The Texas Chainsaw จนถึงหนังสยองสุดคัลต์อย่าง Haute Tension และฉากโหดบางฉากผมยังไปนึกถึงผลงานของ Takashi Miike อีกด้วย มุขต่างๆ ถูกนำมาประเคนใส่หนังของตนเองซะจนน่าสะอิดสะเอียน บทหนังไร้เหตุผลไร้น้ำหนัก มีอยู่มากมายในเรื่อง อาทิ เด็กนักศึกษาสาวที่มีบทให้รอดตายก็ดูจะเข้มแข็งและแข็งแรงผิดมนุษย์ ขนาดโดนฆาตรกรโหดทำร้ายซะสาหัส ท้ายสุดขับรถยิ้มแฉ่ง เริงร่าอย่างน่าสงสัย “เฮ้ย โดนไปตั้งเยอะ ไม่เจ็บเหรอไงวะ?@!?” หรืออย่างมารับน้องนอกสถานที่ทั้งที ยังใส่ชุดนักศึกษากันอีกเหรอเนี่ย?@!? หรืออย่าง หนังสมัยใหม่ขนาดนี้ เด็กนักศึกษาสาวก็เห็นพกโทรศัพท์มือถือคุยอยู่ในรถบัส แต่พอเวลาฉุกเฉินกลับไม่มีใครนึกถึงโทรศัพท์มือถือกันเลยหรือไง?@!? หรืออย่างฉากการไล่ล่า เพื่อนตายมาแล้วไม่รู้กี่ศพ แต่พอนักศึกษาเข้าไปเจอมินิมาร์ทกลับแกะห่อขนมกินเล่นกันอย่างสนุกสนาน หน้าตาเฉย แบบว่า…”เฮ้ย เพื่อนเอ็งตายไปแล้วตั้งกี่คน ยังเล่นกันได้แบบนี้อีกเหรอวะ?@!?” เรียกว่าจุดอ่อนตรงนี้ของ ภาคภูมิ มีเพียบครับ หากจะสร้างหนังสยองขวัญเรื่องต่อไป คงต้องทำการบ้านอีกเยอะ
ฉากและการถ่ายทำ
หาทำเลดีอยู่ครับ ทั้งฉากในป่า มินิมาร์ท แม่น้ำไหลเชี่ยว ดูเงียบงัน และให้บรรยากาศน่ากลัวดี แต่ทว่าบางฉาก กลับทำได้ไม่สมจริงเลย อย่างฉากที่รถบัสกำลังจะตกจากสะพาน ภาพฉายออกมาราวกับรถกระป๋องจำลองห้อยอยู่ได้อย่างน่าตลกสิ้นดี หรืออย่างการถ่ายทำจากการจะเข้าไปรับน้องอยู่ในป่า สักพักก็ดันไปเจอเหมือนโรงงานร้างขนาดใหญ่โต (ซะงั้น -_-‘) ราวกับโรงงานอุตสาหกรรม ที่ไม่น่าจะอยู่ในป่าเลย หากเป็นโรงนาอยู่ตามธรรมชาติก็ว่าไปอย่าง หรืออย่างมินิมาร์ท (ใหม่เอี่ยมและสุดหรูหรา) กลางป่าทึบ แต่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกลับเป็นโรงงานร้าง ออฟฟิศร้างเก่า(โคตร) ห้องน้ำโสยิ่งกว่าห้องน้ำตามปั๊มในต่างจังหวัดหรือตามโรงเรียน(ที่เด็กนั่งมั่วสุมดูดบุหรี่) อีก ซึ่งไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวผ่านมาบริเวณนั้นได้เลย…แต่พี่ภาคภูมิก็ “จัดห้ายย” ในแบบ “งงๆ” ไร้เหตุผลสิ้นดีครับ
ประเด็นดีๆ ที่มีอยู่
เนื้อเรื่องพยายามสอดแทรกประเด็นดีๆ (ที่มีอยู่น้อยนิดและเบาบาง) เข้าไปในหนังด้วย
– ในเรื่องของการเชื่อฟังแม่ สิ่งที่แม่เตือน แม่เป็นห่วงนั้นสำคัญ โดยเฉพาะเด็กสมัยนี้ที่ติดเพื่อน บูชาเพื่อนและเคารพรุ่นพี่ ยิ่งกว่า พ่อแม่ของตัวเองซะอีก เป็นจุดเตือนใจที่ดี
– ฉากการรับน้อง บรรยากาศการว๊ากที่ทำให้เรานึกถึงตอนวัยรุ่นได้ดี ยิ่งฉากบายศรีทำได้ทีเดียว เป็นประเพณีที่ปัจจุบันยังคงรักษาไว้
– เรื่องราวของการเคารพเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่กล่าวไว้ในตอนต้นเรื่องถึง ประตูผี เจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่หากเราไปที่ไหนก็ควรเคารพ และบอกกล่าวท่านไว้ก่อนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากใครลบหลู่ ดูหมิ่นแล้วนั้น สิ่งไม่ดีก็จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ตอนจบ
ผู้กำกับเล่นกับกระแส Reality Game Show ที่คนฮิตกันเหลือเกิน กับการ Vote SMS เพื่อสั่งให้ผู้เล่นเกมอยู่ต่อ หรือ ออก (ตาย) ฉากจบหักมุมโดยการฉายภาพมาที่เด็กน้อยตัวเล็ก (ผู้หญิง) ยืนกดโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งผมว่า ผู้กำกับกะจะกระฉากอารมณ์คนดูให้รู้สึกว่า แม้กระทั่งสาวน้อยตัวเล็กยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้เล่นเกม (นักศึกษาที่กำลังผจญฆาตรกรในป่า) ซึ่งกระฉากอารมณ์ได้โหดร้ายแบบไร้สาระสุดๆ คงจะเป็น Reality Game Show ที่เล่นกันวันเดียวจบ สั่งเป็นสั่งตายได้เหมือนใบสั่งจากศาล หรือสรรพากร ตอนจบผมว่าผู้กำกับภาคภูมิคิดดีครับ ไอเดียดี แต่สื่อสารออกมาได้ไร้น้ำหนักและไม่เข้าท่าเอาซะเลย
หนังเรื่องนี้ถูกฉายเมื่อปลายปี 48 ครับ ผมเองซึ่งพลาดการดูในโรงมาแล้ว (เข็ดกับหนังสยองไทยเหลือเกิน) ตอนนี้หากใครสนใจก็คงต้องไปเช่าดีวีดี/วีซีดีมาดูกันได้ครับ… หนังที่ดูได้เพลินๆ อย่าไปคาดหวังอะไรให้มากมายละกัน…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 3.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: รีวิวหนัง Scared 2005, รีวิวหนัง รับน้องสยองขวัญ, รีวิวหนังสยองไทย, หนังผีไทย
See No Evil (2006)
เกี่ยว ลาก กระชากนรก | Eye Scream Man | Goodnight | The Goodnight Man
นำแสดง: Glen Jacobs (Jacob Goodnight as Kane), Christina Vidal (Christine), Michael J. Pagan (Tyson), Steven Vidler (Frank Williams), Samantha Noble (Kira), Penny McNamee (Melissa), Craig Horner (Richie), Tiffany Lamb (Hannah Anders), Luke Pegler (Michael), Cecily Polson (Margaret), Rachael Taylor (Zoe), Sam Cotton (Young Jacob), Corey Parker Robinson (Blaine), Annalise Woods (Young Girl) Zoe Ventura (Eyeless Women)
กำกับ: Gregory Dark
เขียนบท: Dan Madiganม Harris Levine Wilkinson
ประเภท: Horror
เรื่องย่อ: See No Evil บอกเล่าเรื่องราวอันสุดสยองของอาชญากร วัยรุ่นแปดคนสุดเฮี้ยวที่ถูกเลือกตัวให้มาใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์ทำความสะอาดโรงแรมเก่าหมดสภาพและผุผังแห่งหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดโทษ แต่พวกเขาทั้งแปดไม่รู้เลยว่าบัดนี้ โรงแรมแห่งนี้ได้กลายมาเป็นที่พักของฆาตกรประจำท้องที่ผู้เป็นตำนาน และเป็นพวกไม่พิสมัยคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ เมื่อหนึ่งในพวกเขาถูกลักพาตัวไปโดยเจ้าฆาตกรสุดโหด และไม่มีใครรู้ถึงชะตากรรมของเธอ คนที่เหลือจึงต้องขุดลึกเข้าไปในตัวเองและค้นหาความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ยากจะทำลายได้ ที่มาพร้อมกับความรุนแรงแบบสุดขั้ว
หนึ่งในปีศาจร้ายที่อาจจะกลายเป็นตำนาน…
หากคุณพิสมัยความโหด ฆ่าล้างโคตรในบุคลิกของ LeatherFace แบบ Texas Chainsaw แล้วล่ะก็ See No Evil ก็เป็นปฐมบทที่ทาง WWE Film กำลังจะสร้างตัวแสดงจากนักมวยปล้ำร่างยักษ์ “Kane” ที่มีส่วนสูงถึง 7 ฟุต หนักมากกว่า 300 ปอนด์ ให้กลายเป็นฆาตกรในตำนานอีกคนที่คุณจะต้องจดจำ ผมไม่แน่ใจว่าหลังจากหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จไปแล้ว จะมีโครงการทำภาคต่อไปหรือไม่ แต่ความพยายามที่จะทำให้ Kane กลายเป็นฆาตกรที่มีบุคลิกนิยมการควักลูกตา เพื่อมาชำระล้างบาปนั้น ทำได้ไม่เลวครับ แม้บทโหดๆ เราจะเห็นสไตล์ หรือลีลาท่าทางการชำแหละ การควักในเรื่องอื่นๆ มาแล้วก็ตาม ถือว่า See No Evil ของทาง WWE Film สอบผ่านเลย รับรองได้ว่า มีหลายฉากที่คนขวัญอ่อนจำต้องเบือนหน้าหนีกันแน่ๆ คงต้องรอดูกันต่อไปทั้งเรื่องของการตอบรับ และรายได้ หากมีผลตอบรับที่ดี ผมว่าน่าจะมีภาคต่อออกมาแน่ๆ ดูอย่างหนังเรื่อง Saw ภาคแรกสิครับ หนังอินดี้เอามาฉายบ้านเราอย่างเงียบๆ แต่ทำออกมาโดนใจวัยโหด ผลพวงพรวดออกมาหลายภาคเลย และถูกนำเข้าฉายตามโรงใหญ่ๆ อีกต่างหาก คงต้องรอดูกันต่อไปสำหรับ See No Evil
ผู้กำกับ Gregory Dark และทีมงาน
หลายคนในปัจจุบันจะรู้จักลุง Gregory Dark จากผลงานการกำกับมิวสิกวิดีโอให้กับศิลปินชื่อดัง อาทิ Linkin Park, Disturbed, Sublime ไปจนถึงสาวสุดเซ็กซ์อย่าง Britney Spears แต่ในอดีตนั้น ลง Gregory นั้นฝากผลงานไว้กับหนังในสไตล์ Thriller / Drama ไว้เพียบ โดยเฉพาะ หนังในแนวจำพวกที่ unrate ผู้ใหญ่ดูได้เท่านั้น ลุงแกก็เคยทั้งกำกับและแสดงมาแล้ว อันที่จริงตอนแรกผมนึกว่า ลุง Gregory จะใส่ฉากติดเรทลงในหนัง Horror เรื่องนี้ไว้เพียบ แต่แกกลับไม่ได้ดึงจุดเด่นที่แกถนัดมาใส่มากนัก กลับเน้นไปที่ความโหด สยดสยอง แบบโบนัสแจกฟรี ไม่อั้น ไม่เกรงใจผู้ชมกันเลย ผมไม่แน่ใจว่าหนังที่นำมาฉายในเมืองไทยนั้นจะถูกตัดตอนโหดๆ ออกไปด้วยหรือเปล่า เพราะเท่าที่ดูนั้น น่าจะมีฉากโหดๆ ฮาร์ดคอร์จัดจ้านกว่านี้อยู่ด้วย หากใครทราบและมีหนังในแบบ Uncut ของ See No Evil ก็อย่าลืมเขียนมาเล่าให้ฟังด้วยล่ะว่ามันเป็นยังไง นอกจาก Gregory Dark แล้ว ยังต้องขอชมฝีมือของทีมงาน อาทิ พวกโปรดักชั่นดีไซน์ และทีมงานที่ทำอวัยวะปลอม อย่าง Jason Baird ผมว่าเพื่อนๆ น่าจะคุ้นเคยกับฝีมือของนาย Jason กันเป็นอย่างดี ในหนังสยองเรื่อง House of Wax, Ghost Ship และหนังอื่นๆ อาทิ The Matrix, Star Wars เป็นต้น
“เกี่ยว ลาก กระชากนรก” ลูกตา ชำแหละ สับ และเลือด กับความรุนแรงที่หนังประเคนให้คุณตลอดระยะเวลา หากคุณเป็นผู้พิสมัยความโหดในแบบล้างบางแล้วล่ะก็ หาซื้อเรื่องนี้มาเก็บก็น่าจะดีไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่า ต่อไป เจ้า Kane เจ้าเครื่องจักรยักษ์สีแดงตนนี้จะกลายมาเป็น ไอดอลของฆาตกรร่างยักษ์กับความโหดในแบบฉบับของเขาเองหรือเปล่า อันนี้คงต้องพิสูจน์กันต่อไป…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U
Saw 3 | Saw III (2006)
นำแสดง: Tobin Bell (John Cramer : Jigsaw), Shawnee Smith (Amanda), Angus Macfadyen (Jeff), Bahar Soomekh (Dr. Lynn Denlon), Dina Meyer (Kerry), Mpho Koaho (Tim), Barry Flatman (Judge Halden), Lyriq Bent (Rigg), J. LaRose (Troy)
กำกับ: Darren Lynn Bousman
เขียนบท: James Wan (story) & Leigh Whannell (screenplay)
ประเภท: Horror / Thriller / Crime
เรื่องย่อ: “จิ๊กซอว์” นักเชิดหุ่นผู้อยู่เบื้องหลังเกมส์ที่โหดร้าย ซึ่งสร้างความสยดสยองให้กับชุมชน และทำให้ตำรวจงงงวย พร้อมด้วย Amanda (Shawnee Smith) ผู้ช่วยคนใหม่ สามารถรอดพ้นจากการจับกุมไปได้อีกครั้ง และหายตัวไป ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนประจำเมืองออกควานหาตัวเขา บุคคลสำคัญสองคนคือ Dr. Lynn Denlon (Bahar Soomekh) และ Jeff (Angus Macfadyen) ไม่รู้ตัวเลยว่า พวกเขาได้กลายเป็นหมากตัวล่าสุด บนกระดานหมากรุกที่แสนชั่วช้า…
SAW III
ภาพยนตร์สยองชื่อดัง กลับมาเขย่าขวัญอีกครั้ง ซึ่งด้วยเนื้อหาและตัวละครแล้ว ผมคาดว่าน่าจะสิ้นสุดที่ไตรภาคนี้ แต่ก็ไม่แน่ อาจมีตัวละครบางตัวที่มาจากภาค 1 – 3 ไปโผล่อยู่ในภาค 4 ก็ยากที่จะคาดเดา แต่เท่าที่ทราบว่า เห็นว่าทาง James Wan ผู้กำกับ (ภาคแรก) และผู้เขียนเนื้อหาที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงเหนือคาดเดากำลังเขียนบทภาพยนตร์ตอนที่ 4 อยู่
มาว่าถึง SAW ภาค 3 กันต่อ…ในภาคนี้ ได้ Darren Lynn Bousman ผู้กำกับจากภาค 2 มากำกับต่อ และได้ Leigh Whannell นักแสดงและผู้เขียนบทภาพยนตร์ฝีมือดีมาร่วมเขียนบทภาพยนตร์กันต่อในภาคนี้ (เฮีย คนนี้ แกได้ร่วมแจมเขียนบทภาพยนตร์ใน Hostel Part II ด้วยแหละ) นับได้ว่า ลีลา ชั้นเชิง ความเชื่อมโยงของตัวละคร ที่ James Wan และ Leigh Whannell บรรจงประพันธ์นั้น ไม่ผิดหวังครับ ยังคงเข้มข้นทั้งเนื้อหา ทั้งความรุนแรง
ฉากหลาย ๆ ฉากใน SAW III นั้น ประเคนความโหดใส่ผู้ชมอย่างไม่ยั้งจริงๆ (ตรึงโซ่ แช่กรด ถลกหนังหัว เลื่อยกะโหลก หัวแบะ แหวะพุง และอีกสารพัดชนิดความโหด ดุ) มีฉาก Gore ให้คนข้างๆ คุณได้หยีหลี่ตากันแน่นอน ผมไม่แน่ใจว่า หนังจะถูกตัดตอนความโหดออกไปมากน้อยเพียงใดนะครับ ถ้ามีโอกาสคงต้องหาภาค Uncut มาดูเต็มๆ อีกทีแน่นอน ตัวหนังในภาคนี้ ฉายให้เห็นถึงที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวที่มีชีวิตเหลืออยู่มาจากภาคแรกและภาคสอง ทำให้เราได้ร้องอ๋อ กับที่มา และเหตุผลของการกระทำทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น หนังยังคงใช้ theme หลักในเรื่องของการที่คนเราไม่เห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง จนท้ายสุดที่รู้ว่า กำลังจะสูญเสียชีวิตของตัวเองไป แล้วต้องดิ้นรนเพื่อที่จะรักษาชีวิตของตนนั้นให้อยู่ต่อไป ซึ่งเป็น “เกม” ที่ฆาตกร Jigsaw ใช้สอนชีวิตของคนเหล่านั้น ผนวกกับเนื้อหาอีกด้านที่ใช้ตัวละครหลักอย่าง Amanda ในการที่จะบอกเล่าถึงการระบายความโกรธแค้นผ่าน “เกม” ที่ Jigsaw เป็นคนคิดขึ้นมา ความแตกต่างระหว่าง Jigsaw กับ Amanda ที่เรื่องนี้ต้องการบอกคือ “การให้อภัย” นั้น สำคัญยิ่งกว่าการเจ็บ แค้น เคือง โกรธ และทุกข์ระทมในจิตใจของคนเรานั่นเอง ปรัชญาในหนังสยองเรื่องนี้ ผมยกนิ้วให้ครับ…
เนื่องจาก SAW ภาคแรก และภาคสองนั้นประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทุนสร้างคงมีเพิ่มขึ้นจากหนังนอกสายตาในภาคแรก จนมาถึงภาค 3 นั้น โปรดักชั่นนั้น ตระการตาเหลือเกิน โดยเฉพาะการสร้างตัวละคร Amanda (Shawnee Smith) ที่กลายเป็นผู้ช่วยของ Jigsaw ให้กลายเป็นผู้หญิงโหด แกร่งและโคตรเก่ง ในแบบที่ว่า สามารถสร้างเครื่องทรมาน หลากหลายเผ่าพันธุ์ชนิดความดุ ในระดับที่ ผมคิดว่า Amanda ต้องจบวิศวะ พวกช่างกล ช่างไฟฟ้า สารพัดช่าง หรือต้องจบพวกวิทยาศาสตร์ หรือไม่จบอะไรเลย แต่ต้องศึกษาวิธีการทำเครื่องมือการทรมานมาตั้งแต่ 5 ขวบแน่ ๆ เลย เพราะหล่อนเก่งเหลือเกิน (ไป) โดยเฉพาะฉากที่เธอกล่าวกับ ดอกเตอร์ลินน์ บรรยายให้เห็นภาพของความโหดร้ายกับเครื่องมือทรมานที่สวมอยู่บนคอของดอกเตอร์ลินน์ โดยหล่อนจบประโยคบทสนทนาด้วยคำว่า “…เพราะฉันเป็นคนสร้างเครื่องมือนั้นเอง” ผมว่า การสร้างตัวละครให้เก่งเหนือจริง มันทำให้รสชาดความเป็น Thriller / Crime ของหนังมันจืดจางลงไป (บ้าง) สเน่ห์ลดลงไป (บ้าง) แต่ก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ น้อยๆ ไม่ได้ทำให้อรรถรสการชมภาพยนตร์ลดลงไปแน่นอน
ยังไงก็แนะนำครับ กับ SAW III แฟนฟิล์มสยอง ห้ามพลาด!
Update เพิ่มเติม 12/1/2013: ณ ขณะที่นำ Saw ภาค 3 อัพเดทกลับขึ้นเว็บฟิล์มสยองอีกครั้ง ตอนนี้ SAW ขยายเผ่าพันธุ์กันไปสู่ภาค 7 ภาค 8 ที่จะคลอดออกมาเรื่อยๆ ซึ่งผมว่ายิ่งสร้างออกมาก็ยิ่งเสื่อมครับ แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้หนัง SAW ก็คงต้องติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ หามาสะสมได้ตามอัธยาศัยครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: ผลงานของ Tobin Bell, ผู้กำกับ James Wan, รีวิว Saw ทุกภาค, รีวิว Saw ภาค 3, หนังของ James Wan
Seconds Apart (2011)
Seconds Apart – Blood Brothers
กำกับ: Antonio Negret
เขียนบท: George Richards
นำแสดง: Orlando Jones (Detective Lampkin), Edmund Entin (Jonah), Gary Entin (Seth), Samantha Droke (Eve)
เรื่องย่อ: จากการตายหัวเบะด้วยการเล่น Russian Roulette ของนักเรียนไฮสกูลสี่คนในงานปาร์ตี้ ทำให้นักสืบ Lampkin เข้ามาสืบหาความจริงว่าเป็นการฆ่าตัวตายหมู่หรือฆาตกรรม จากการสอบปากคำนักเรียนที่ร่วมสนุกเมามันอยู่ในงานปาร์ตี้ดังกล่าว มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดถึง Jonah และ Set Trimble ฝาแฝดที่ถือกล้องวีดิโอเข้ามาถ่ายในงานด้วย จุดเริ่มต้นที่ทำให้นักสืบ Lampkin ต้องทำการสืบหาข้อเท็จจริงจากฝาแฝด ด้วยเพียงคิดว่าอยากจะได้ภาพวีดิโอที่ถ่ายในงานซึ่งอาจเป็นหลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดีนี้…แต่สิ่งที่นักสืบ Lampkin พบ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น
ยิ่งสืบ ยิ่งพบว่าฝาแฝดนั้นมีความสามารถในการติดต่อกันทางกระแสจิต ที่เมื่อไรก็ตามที่ทั้งสองคนประสานมือกัน พวกเขาสามารถบังคับจิตใจให้ใครทำอะไรก็ได้ ในขณะที่ฝาแฝดทั้งสองกำลังสนุกสนานในการ “เลือก” และ “ล่า” เหยื่อ Jonah แฝดฝาหนึ่งก็เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนสาว “Eve” ผู้ซึ่งเริ่มเข้ามาซึมซับและสร้างให้พี่น้องฝาแฝดแยกออกจากกัน เมื่อ Set แฝดอีกฝารู้สึกแค้นที่สาวน้อยคนนี้จะมาพราก Jonah ไป เหตุการณ์ชิงรักหักเหลี่ยมสยองเลือดสาดจึงได้เริ่มต้นขึ้น
แฝดนรก…จกเปรต
Seconds Apart หนังสยองที่เกี่ยวกับ “แฝด” ทำให้นึกถึง “แฝด” หนังสยองของไทยว่าจะทัดเทียม ฟัดกันได้หรือไม่ แม้พล๊อตเรื่องจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองเรื่องก็เล่นกับเนื้อหาเชิงจิตวิทยาอย่างสนุกสนาน
ต้องยอมรับว่า Seconds Apart ทำออกมาได้สนุกและน่าติดตาม ทั้ง การถ่ายทำ มุมมองกล้อง และแสงช่วยขับให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์มากขึ้น ส่วนความสยองนั้นไม่ต้องถามหา เพราะมันมาตั้งแต่นาทีแรกของหนัง หลังจากนั้นก็ประเดประดังฉากความรุนแรง จิตป่วน แอบโหดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่ต้องบอกเลยครับว่ามันไม่ได้ฟุ่มเฟือยจนรู้สึกเอียน ดูได้ไปจนตัวหนังเริ่มคลี่คลายให้เราเห็นถึงเหตุและผล ความเป็นมาของแฝดนรก ทั้งนี้ ในเนื้อหายังแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ในมุมมองของความรัก โลภ โกรธ หลง ที่ช่วยให้หนังสยองเรื่องนี้มีเนื้อหา ไม่กลายเป็นหนังสยองเลี่ยนดาดๆ ทั่วๆ ไป
Seconds Apart หนึ่งในหนัง After Dark Originals ประจำปี 2011 ที่กอบกู้ความ “ยี้” ในชื่อเสียของ After Dark มาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ…งานนี้แฝดนรกช่วยชีวิตแท้ๆ!
โดย ศร-รณ
Rating: 4.00 / 5.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: 8 films to die for รีวิวหนัง, รีวิว Seconds Apart, รีวิวหนังสยอง, รีวิวหนังแฝดโรคจิต, รีวิวหนังโรคจิต
The Task (2011)
มิติสยอง 7 ป่าช้า : เรียลลิตี้ท้าตาย
กำกับ: Alex Orwell
เขียนบท: Kenny Yakkel
นำแสดง: Alexandra Staden, Victor McGuire, Adam Rayner, Antonia Campbell-Hughes, Ashley Mulheron, Tom Payne, Texas Battle
หนัง Reality show สยองขวัญ ส่งเข้าประกวดโดยค่าย After Dark หนึ่งใน 8 เรื่องสยองประจำปี 2011 เมื่อประทับตรา After Dark ก็ต้องขอหยิบมาดูหน่อยละครับ
แม้ว่าเราจะผิดหวังจากหนัง After Dark มาหลายครั้งหลายครา แต่มันก็น่าจะมีสักเรื่องที่โดนบ้างล่ะวะ!
The Task มิติสยอง 7 ป่าช้า : เรียลลิตี้ท้าทาย
ภารกิจที่ผู้กล้าท้าตาย 6 คนต้องเข้าไปในเรือนจำร้างที่มีประวัติสยองโชกโชนมาก่อน ใครปฏิบัติภารกิจสำเร็จในแต่ละฐานก็จะได้เงินรางวัลก้อนโตล่อใจ…เนื้อเรื่องก็มีอยู่เท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
เนื้อเรื่องสั้นง่าย แต่การดำเนินเรื่องอืดอาดปานยานอนหลับชั้นดี เรื่องดำเนินไปจนเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มีหักมุมตอนท้ายในช่วง 5 นาทีท้ายสุด ก่อนที่จะหักมุมอีกต่อในแบบที่คาดเดาได้ไม่ยาก
ส่วนความสยอง ระทึกขวัญ โหด เลือดสาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงครับ! คือไม่ต้องพูดถึงมันเลยครับ เพราะไม่ได้เร้าอารมณ์ให้ความรู้สึกเป็นหนังจำพวกนั้นเลย แต่หากท่านอยากซื้อหามาดูเพลินๆ ไปหาหนังตลกน่ารักๆ มาดู ยังจะเพลินกว่าครับ
หรือหากท่านอยากดูหนังจำพวก Reality Show ก็ขอแนะนำหนังสยองระทึกของพี่ไทยจะดีกว่าครับ
Reality Show สยองของบ้านเรา
พูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องเอาหนังโชว์แขกของบ้านเรามาพูดถึงสักหน่อย ซึ่งต้องบอกว่าดูดี มีคุณภาพมากกว่าเยอะ โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับ The Task อย่างเรื่อง Ghost Game ล่า-ท้า-ผี หนังไทยสยองขวัญที่นำนักแสดงจาก Academy fantasia ในยุคแรก (AF1) แสดงนำ ตอนนั้นรายการ Reality Show เพิ่งเป็นที่นิยมในเมืองไทย ก็สนองตอบกระแสความแรงของนักแสดงบ้าน AF ซึ่งสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ในขณะนั้นก็ถือว่าทำออกมาใช้ได้นะครับ เรื่อง Ghost Game แม้จะไม่เด่น ไม่ดัง ไม่ขึ้นหิ้งหนังสยองทรงคุณค่า แต่ก็ไม่เน่าเท่า The Task แน่นอนครับ
หนังพี่ไทยอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าเป็นแนว Reality Show ระทึกขวัญที่ขึ้นแท่นหนังพี่ไทยสยองทรงคุณค่าอีกเรื่อง นั่นคือ 13 เกมสยอง หรือ 13 Beloved หนังไทยจากฝีมือการกำกับของชูเกียรติ นำแสดงโดยน้อย วงพรู ใครยังไม่ได้ดูสองเรื่องนี้ ก็ไปหาซื้ออุดหนุนหนังไทยเราดีกว่าเยอะเลยครับ
โดย ศร-รณ
Rating: 1.00 / 5.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: รีวิวหนัง The Task, รีวิวหนังค่าย After Dark, รีวิวหนังสยอง, หนังผี, หนังสยองขวัญ
Trick ‘r Treat (2008)
กำกับ และเขียนบท: Michael Dougherty
นำแสดง: Dylan Baker (Steven), Rochelle Aytes (Maria), Quinn Lord (Sam / Peeping Tommy), Lauren Lee Smith (Danielle), Moneca Delain (Janet), Tahmoh Penikett (Henry), Brett Kelly (Charlie), Britt McKillip (Macy), Isabelle Deluce (Sara), Jean-Luc Bilodeau (Schrader), Alberto Ghisi (Chip), Samm Todd (Rhonda), Anna Paquin (Laurie), Brian Cox (Mr. Kreeg), Leslie Bibb (Emma)
ประเภท: Horror / Comedy
Plot หนังจากเว็บไซต์ mangpong.co.th – ผลงานสยองขวัญพร้อมอารมณ์ขันชวนขนลุกเพื่อเฉลิมฉลองค่ำคืนที่น่ากลัวที่สุดของปีเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ (ผู้กำกับ X-Men และ Superman Returns) และ เขียนบท-กำกับโดย ไมเคิล ดอเฮอร์ตี้ (ผู้ร่วมเขียนบท X-Men และ Superman Returns)
“กระตุกขวัญวันปล่อยผี” คือการนำหนังในสไตล์ Creepshow / Tales from the Crypt สู่ความเขย่าขวัญอันหลอนลึกของสี่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนวันฮัลโลวีน อันได้แก่ ครูใหญ่ไฮสคูลคนหนึ่ง (ไดแลน เบเกอร์) ใช้เวลาว่างในยามดึกดื่นเป็นฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง / สาวน้อยที่หวังเสียความบริสุทธิ์ให้กับคนพิเศษ (แอนนา พาควิน) อาจต้องเสียทั้งตัวและชีวิต / แก๊งวัยรุ่นสุดซ่าส์ที่เล่นแกล้งกันอย่างไม่ปราณีต้องเจอดีกลับมาแบบเข็ดจนตาย และชายแก่อารมณ์ร้าย (ไบรอัน ค็อกซ์) ต้องต่อกรกับผีเด็กที่เล่นหลอกเขาแบบไม่ตายไม่เลิกรา!
Trick ‘r Treat เคารพประเพณีกันหน่อยดิ ^ ^
สี่เรื่องราวฮาสยองที่นำมาโยงใยเกี่ยวพันกันได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ หนังบอกเพียงว่า ..เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น, เหตุการณ์หลังจากนั้น เหตุการณ์ในระหว่างนั้น…หนังยุคใหม่ที่ทำออกมาสไตล์หนังสยองยุค 80’s ครับ ทั้งภาพ มุมกล้อง บรรยากาศ และตัวละคร รวมไปถึง “ปีศาจเด็ก…ผีฟักทอง”
เนื้อหาที่ต้องการจะบอกให้เคารพประเพณีในวันปล่อยผี ที่ปัจจุบันคนยุคใหม่ส่วนใหญ่แทบจะหลงลืมขนบ หรือประเพณีดั้งเดิม อาทิ การแจกจ่ายขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด การประดับประดาไฟจากตะเกียงฟักทอง เป็นต้น เมื่อประเพณีมีไว้ให้ทำ แต่หากท่านไม่ทำ หนังเรื่องนี้แหละคือบทสั่งสอน!
ความสยอง อารมณ์ร่วมแบบยุค 80’s ชวนให้หนังมีสเน่ห์อย่างยากที่จะปฏิเสธครับ เสริมด้วยตอนท้ายของหนังทั้งสี่เรื่องมีประเด็นการหักมุมที่สยองดูชม อาทิ ครูใหญ่ใจดีที่มีพฤติกรรมนิยมฆ่า และถ่ายทอดพฤติกรรมนั้นสู่ลูกชายตัวเปี๊ยกที่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับคุณพ่อ! สาวน้อยสุดน่ารักกับพี่สาวและชาวแก๊งค์แปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าขย่ำเหยื่ออย่างสนุกสนาน ชายแก่อารมณ์ร้ายที่รอดตายเพราะหยิบยื่นขนมให้ปีศาจฟักทอง เป็นต้น ผมว่าถ้าทำออกมาแบบปรับบทภาพยนตร์ให้กลายเป็นหนังสยองแบบซีเรียสๆ เรื่องนี้คงจะโหดไม่น้อยเลยแหละ (หามาดูกันเองนะ) ส่วนใครที่หวังจะดูฮาโลวีนเลือดสาดอะไรทำนองนี้ ก็คงดูแล้วเฉยๆ หน่ะครับ ส่วนตัวผมชอบหนังสั้นอารมณ์ Creepshow / Tales from the Crypt อยู่แล้ว พอได้ดูเรื่องนี้ก็เลยถูกใจ
สนุกดีครับ หามาดูกัน
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: รีวิวหนังสยอง, รีวิวหนังสยองขวัญ Trick 'r Treat (2008), หนังสยองขวัญ
Stir of Echoes 2: The Homecoming (2007)
เสียงศพสะท้อนวิญญาณ 2
กำกับและเขียนบท: Ernie Barbarash
นำแสดง: Rob Lowe (Ted Cogan), Marnie McPhail (Molly Cogan), Ben Lewis (Max Cogan), Tatiana Maslany (Sammi), Shawn Roberts (Luke), Vik Sahay (Farzan), Colin Williams (Drexel)
ประเภท: Horror / Thriller
เรื่องราวของ Ted Cogan นายทหารกองรักษาดินแดน ประจำฐานอิรัก ผู้สั่งฆ่าชีวิตเหยื่อบริสุทธิ์จนกลายเป็นตราบาปในใจ หน่วยของเขาปะทะกันกับผู้ก่อการร้าย จนทำให้ Cogan ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็รอดกลับมาได้ ด้วยอาการที่เห็นภาพหลอนของคนตาย ซึ่งอาการดังกล่าวมักเกิดกับทหารผู้กลับมาจากการรบ เหตุการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้นเมื่อภาพหลอนดังกล่าว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพ มันไม่หายไปตามระยะเวลา แต่มันกลับกลายเป็นความสยองที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันที่มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ชายหนุ่มตาบอดผู้สัมผัสวิญญาณได้ แนะนำให้ Cogan หาสาเหตุที่แท้จริงว่า เจ้าวิญญาณร้ายดังกล่วต้องการอะไรกันแน่ Cogan จึงได้เริ่มต้นค้นหาความจริง และความน่าสะพรึงของคำตอบที่เขาค้นพบ มันช่างน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณที่มาหลอกหลอนเขาอีก!
Stir of Echoes2: The Homecoming
หนังสยองเกรดบี ที่มีพล็อตเรื่องคล้ายๆ กับ Stir of Echoes ภาคแรกครับ เหยื่อผู้เสียชีวิตพยายามจะบอกตัวละครเอกให้ค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริง แต่ความอาฆาตพยาบาทในตอน The Homecoming ดูจะรุนแรงกว่า เมื่อฆาตกรคือบุคคลที่ใกล้ตัวของ Cogan ผมว่าหนังฉายภาพของผีให้เห็นกันมากมายเกินจำเป็น หากปรับเปลี่ยนมาเป็นการ เน้นเล่นกับอารมณ์กดดัน หลอน ระทึกกับผู้ชมในแบบภาคแรกของ Stir of Echoes ที่มี Kevin Bacon แสดง คงดีไม่น้อย
แฟนหนังสยอง หนังระทึกขวัญหลายคนน่าจะประทับใจกับ Stir of Echoes เสียงศพสะท้อนวิญญาณภาคแรกที่ออกในปี 1999 กับผลงานการแสดงสุดระทึกของ Kevin Bacon และผลงานการเขียนบท และกำกับของ David Koepp ห่างหายกันไปเกือบสิบปี Ernie Barbarash นำ Stir of Echoes มาทำต่อในชื่อที่ว่า Stir of Echoes 2: The Homecoming
Ernie Barbarash ก็ไม่ใช่ผู้กำกับหน้าใหม่ ไร้ชื่อครับ Erinie สร้างผลงาน Sci-Fi / Horror ที่ล้ำลึกด้วยบทภาพยนตร์โยงใยเกี่ยวกับการคำนวณหาทางออกในหนังที่ชื่อว่า Cube Zero และยังเขียนบทให้กับ Cube 2: Hypercube อีกด้วย เพราะงั้นใครจะมองว่า Stir of Echoes ภาค 2 นี้ จะเป็นหนังเกรดบีห่วยแตกรับไม่ได้หากเทียบกับภาคแรก ก็คงต้องหันกลับมาพิสูจน์กันเอาเองแล้วล่ะครับ
สำหรับผมก็เป็นหนังดูได้เพลินๆ ไม่ต้องถึงกับเขว้งแผ่นทิ้งหรอกครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 3.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U
The Stepfather (2009)
กำกับ: Nelson McCormick
เขียนบท: J.S. Cardone (screenplay), Donald E. Westlake (earlier screenplay)
นำแสดง: Dylan Walsh (David Harris), Sela Ward (Susan Harding), Penn Badgley (Michael Harding), Amber Heard (Kelly Porter), Sherry Stringfield (Leah), Paige Turco (Jackie Kerns), Jon Tenney (Jay), Nancy Linehan Charles (Mrs. Cutter),
Marcuis Harris (Detective Shay), Braeden Lemasters (Sean Harding), Deirdre Lovejoy (Detective Tylar), Skyler Samuels (Beth Harding), Blue Deckert (Captain Mackie), Jason Wiles (Dylan Bennet)
ประเภท: Thriller
Who Am I Here?
The Stepfather หนังรีเมคจากภาพยนตร์คลาสสิกชื่อเดียวกันที่ออกฉายในปี 1987 ซึ่งกำกับโดย Joseph Ruben สำหรับในงานรีเมคปี 2009 นี้ กำกับโดย Nelson McCormick ผู้โชคโชนประสบการณ์ทางด้านกำกับซีรีส์ชื่อดังมาแล้วมากมาย อาทิเช่น CSI, Cold Case, ER, Nip/Tuck, Smith จนมาลองเอาดีทางด้านกำกับภาพยนตร์ในเรื่อง The Stepfather ที่ออกฉายในเมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา
ในเวอร์ชั่น 1987 หนังจะเล่าเรื่องราวของลูกสาวที่ต้องเผชิญกับพ่อเลี้ยงคนใหม่ ถ้าใครจำหนังตัวอย่างของเวอร์ชั่น 1987 ได้ ประโยคสุดสั่นประสาทที่พ่อเลี้ยงรำพันกับตัวเองว่า “Who Am I here?” น่าจะเป็นที่จดจำของแฟนหนัง original เรื่องนี้
The Stepfather 2009
หนังเริ่มต้นเรื่องราวด้วยภาพของชายวัยกลางคน อาบน้ำ ย้อมผม โกนหนวด โกนเครา ก่อนจะมาปิ๊งขนมปัง ดื่มกาแฟ และเปิดเพลงไซเรน ไนท์ฟังอย่างสบายใจ ทว่า ภาพเริ่มตัดมาให้เราได้เห็น “ศพ” ของเด็ก และผู้ใหญ่ นอนเรียงรายตายอยู่ในบ้าน…แทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครคือฆาตรกรในช่วงห้านาทีแรกของหนัง!
พล๊อตเรื่องของ The Stepfather ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ชายวัยกลางคนที่ตระเวนหาเหยื่อที่เป็นครอบครัวที่สามีตายจาก หรือไม่ก็หย่าร้างกันไป เหลือเพียงแค่แม่ และลูก ๆ เขาจะศึกษาและตีสนิท ไม่ว่าจะเป็นตามห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านขายของชำ ก็เป็นแหล่งในการหาเหยือได้อย่างดี จนเข้าไปอยู่ร่วมกับครอบครัวนั้นๆ ได้ ทว่าครอบครัวของ Harding มีลูกชาย (Michael) ที่เพิ่งกลับมาจากการถูกส่งไปโรงเรียนทหาร เริ่มระแคะระคายว่า พ่อเลี้ยงคนใหม่ของตนมีอะไรแอบซ่อนเอาไว้หรือไม่ Michael และแฟนสาวจึงได้เริ่มลงมือสืบหาหลักฐาน จนพวกเขาต้องตะลึงถึงสิ่งที่พบเจอ!
คติเตือนใจว่าอย่าหลงผัวใหม่จนลืมลูก
อย่างที่บอกไป หนังไม่ได้มีอะไรซับซ้อนให้คาดเด่า แต่มีความระทึก ให้ลุ้นเร้าอารมณ์อย่างเนือง ๆ อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่ได้พบจากหนังเรื่องนี้ คือ “ความเหงา” ของสาวหม้ายที่น่าจะเป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดีหากใครที่เป็นสาวหม้ายและได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ และยิ่งเป็นสาวหม้ายที่สามีเก่าไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยดูแล แถมยังลงไม้ลงมือด้วยแล้ว เธอก็จะยิ่งเปราะบาง ซึ่งนี่แหละ คือ จุดอ่อนของพ่อเลี้ยงจอมปลอมสุดจิตคนนี้!
จริงๆ ความเปราะบาง เป็นจุดก่อให้เกิดความืดมัวของสายตา โดนเอาอกเอาใจหน่อย โดยรุมเร้า เอาใจใส่หน่อย แม่หม้ายก็ละลายจนละลืมลูกที่คลอดคลานออกมาจากท้องของเธอ เพราะงั้นหนังเรื่องนี้จึงสื่อให้เห็นถึงสถาบันครอบครัวที่ควรพึงจะกระทำให้เกิดความรัก ความอบอุ่นชนิดที่ใครก็ไม่สามารถแยกจากกันได้ การยอมรับ เชื่อใจ และฟังความคิดเห็นของกันและกัน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด
คนนอกที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย…อย่าไปไว้ใจครับ
รักคนในครอบครัวของท่านให้มาก ๆ
(ไม่รู้เขียนมาจบแบบนี้ได้ไงเหมือนกัน ฮ่า ฮ่า)
โดย ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร
Rating: 3.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: รีวิวหนัง Stepfather, รีวิวหนังเขย่าขวัญ สั่นประสาท, หนังรีเมคเขย่าขวัญ
Severed Ties (1992)
กำกับ: Damon Santostefano
เขียนบท: John D. Brancato (co-writer), David Casci (story)
นำแสดง: Johnny Legend (Preacher), Garrett Morris (Stripes), Billy Morrissette (Harrison Harrison), Roger Perkovich (Lorenz), Oliver Reed (Doctor Hans Vaughan), Elke Sommer (Helena Harrison), Bekki Vallin (Uta), Denise Wallace (Eve)
ประเภท: Sci-Fi / Horror
เพิ่งดูจากหนังเรื่องนี้ที่ฉายทางยูบีซีจบครับ…เคยเห็นชื่อผ่านตาอยู่หลายครั้งตามเว็บไซต์และนิตยสาร เพราะเป็นหนึ่งในหนังคลาสสิกที่ผลิตโดย นิตยสารขวัญใจชาวสยอง Fangoria ยูบีซีใจดีเอาหนังพันธุ์นี้มาฉายด้วย ก็เลยต้องดูสักหน่อย
หนัง Sci – Fi / Horror ว่าด้วยเรื่องของ “Harrison Harrison” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่สานต่องานวิจัยของพ่อในโครงการปลูกถ่ายอวัยวะ พ่อมีเจตนาดีอยากทำเพื่อมนุษยชาติ แต่แม่เจ้าอยากเอางานวิจัยไปขายหาแดก เลยจัดการพ่อเจ้าซะ มาคราวลูกก็ร่วมมือกับชู้ดอกเตอร์หลอกลูกให้ขายงานวิจัยดังกล่าวนี้ด้วย ไอ้ตอนชุลมุนที่จะแย่งตัวยาดังกล่าว ประตูเจ้ากรรมก็สับแขนของ Harrison ขาดสะบั้นตั้งแต่หัวไหล่ Harrison หนีไปได้พร้อมกับยา เขาจึงได้ทำการทดลองฉีดให้กับตัวเอง แขนปีศาจสุดอุบาทว์ก็โผล่ออกมาหน้าตาพิลึกก่อนที่จะทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมคืนร่างเป็นแขนปกติ แต่ทว่าไอ้แขนนี่มันไม่ปกติสิครับ มันจะมีสภาพที่โหดร้าย บ้าบอ ตามแต่ DNA ที่นำเอามาทดลอง…พบเรื่องราวพิลึกๆ บ้าบอ ๆ และแขนสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวราวงูหางกระดิ่งได้ใน Severed Ties ครับ
หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Horror ผสมพันธุ์กับ Sci – Fi แบบสยองฮานิดๆ เพี้ยนมากหน่อย ยี้ๆ แหวะ ๆ บ้างเล็กน้อย ในสไตล์หนังเกรดบี แขนที่ทำออกมาในลักษณะของงู อย่าไปนึกว่ามันจะเนียนแบบหนังเรื่อง Idle Hands หรือไอ้มือดุ๊กดิ๊กในครอบครัวอดัมนะครับ มันมาในสภาพแบบยางพาราหล่อยัดสำลีเหมือนตอนที่เราเล่นทำมือปลอม แขนปลอมตอนเด็กๆ อะไรทำนองนั้นเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่แขนของ Harrison ถูกประตูสับขาด แกวิ่งเอาแขนยัดใส่ในเสื้อราวคนแขนขาดได้มันจริงๆ ลำตัวพองเป็นรูปแขนเห็นชัดเชียว…ไม่รู้เป็นเจตนาของผู้กำกับหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่มันดูบ้าบอดีแท้ครับ (ต้องดูแบบไม่คิดอะไรมากเท่านั้นนะ)
ใครติดยูบีซีอาจลองเปิด guide magazine ดูโปรแกรมเอานะครับ คาดว่าเดี๋ยวก็คงมีมาฉายซ้ำอีก
ส่วนใครจะหาแผ่นมาดูก็เชิญได้ครับ ดูเอาบันเทิงครับ อย่ามากทฤษฏีไป เดี๋ยวจะเครียด ^^
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 2.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: รีวิวหนัง Sci - Fi, รีวิวหนัง Severed Ties, รีวิวหนังสยองขวัญคลาสสิก
Scream (1996)
หวีดสุดขีด
กำกับ: Wes Craven
เขียนบท: Kevin Williamson
นำแสดง: David Arquette (Deputy Dwight ‘Dewey’ Riley), Neve Campbell (Sidney Prescott), Courteney Cox (Gale Weathers), Skeet Ulrich (Billy Loomis), Rose McGowan (Tatum Riley), Matthew Lillard (Stuart ‘Stu’ Macher),
Jamie Kennedy (Randy Meeks), W. Earl Brown (Kenneth Jones), Drew Barrymore (Casey Becker),
Joseph Whipp (Sheriff Burke), Lawrence Hecht (Neil Prescott), Roger Jackson (The Voice), David Booth (Mr. Becker),
Liev Schreiber (Cotton Weary), Kevin Patrick Walls (Steven Orth)
ประเภท: Horror / Thriller / Crime
“I wanna play a GAME!”
14 ปีผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับครั้งแรกที่หนังเรื่องนี้ออกฉายในปี 1996 ณ เวลาที่หยิบหนังเรื่องนี้กลับมาพูดถึงอีกครั้งก็ปี 2010 เข้าแล้ว จำได้มั้ยครับในปี 1996 เพื่อนๆ ทำอะไรกันอยู่ เรียนหนังสือ? เพิ่งทำงาน? ผมจำได้ว่าตอนนั้นที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย ผมไม่ได้ไปดูที่โรงล่ะครับ แต่พี่สาว (ผู้ชื่นชอบหนังสยองขวัญเช่นกัน) ได้มีโอกาสไปดูมา คนดูเต็มโรง หนังแถวหน้า ได้สะดุ้ง ได้ยี้ และได้ “หวีด” สมใจอยาก
Scream ถือได้ว่าเป็นหนังปลุกกระแสตระกูลหนังวัยรุ่นถูกฆาตกรโรคจิตไล่ล่าฆ่าโหด หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Teen Slasher film ทำให้หนังจำพวกนี้โผล่ตามออกมาเพียบครับ อาทิเช่น I know what you did last summer, I still know what you did last summer, Urban Legend, Gossip, Psycho Beach Party, Blood Murder, Cherry Falls, Cry wolf เป็นต้น สำหรับหนัง Scream เอง ก็สร้างภาค 2 และ 3 ออกมาอีก เรียกว่าเป็น Scream Trilogy ทำออกขายมาเป็นบ็อกเซ็ท ตอนนี้ใครเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ก็ติดตามดูภาค 4 ละกันครับ ซึ่งอาจจะมีภาค 5, 6….ต่อๆ ไปอีก สาว Sidney Prescott (แสดงโดย Neve Campbell) คงต้องแสดงไปจนถึงบทที่เป็นป้า เป็นย่า ยาย และ “การเชือดสยองครั้งใหม่ของเจ้า Ghost Face ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในสมัยลูกหลาน” อะไรทำนองนี้…(คิดเล่นๆ หน่ะครับ)
พูดถึง Ghostface นี่ กลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปโดยปริยายเลยนะครับ กลายเป็น brand ที่น่าจดจำสำหรับคอหนังสยองขวัญ อีกทั้ง เจ้า Ghostface นี่ไม่ได้มีคนเดียวเหมือนฆาตกรในหนังสยองเรื่องอื่นๆ (อย่างในภาคแรกของ Scream นี้ เจ้า Ghostface มีสองคนคือ Billy กับ Stu วัยรุ่นสองคนที่คลั่งไคล้หนังสยองขวัญ อีกคนมีปมความแค้นส่วนตัวกับครอบครัวของ Sidney เลยจัดแจงผสมโรงกันไล่เชือดอย่างสนุกสนาน) ใครสวมใส่หน้ากาก Ghostface ก็ได้เป็นฆาตกรก็ได้ แถมโดนเตะผ่าหมาก (ก็จุกได้) โดนถีบ โดนต่อย เอาขวดขว้างใส่ ก็เจ็บได้ เอาปืนยิง มีดเสียบก็ตายได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ผิดกับคาเร็กเตอร์ของฆาตกรโหดคนอื่นๆ ทั้งฟัน ชำแหละ ยิงแสกหน้า ขวานฟัน พี่แม่งก็ยังไม่ตายสักที (อึดยิ่งกว่า John McClane แห่ง Die Hard ซะอีก) ด้วยความสมจริงของฆาตกรตัวนี้ก็ยิ่งทำให้เราได้สนุกและเข้าถึงหนังเรื่อง Scream ซึ่งประสบความสำเร็จมากมาย และถูกยกย่องขึ้นหิ้งหนังสยองขวัญคลาสสิกตลอดกาลเลยทีเดียว
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ บทภาพยนตร์ที่มีการพูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกมากมายหลายเรื่อง การนำมาเป็นบทภาพยนตร์การสนทนาเขย่าขวัญเหยื่อทางโทรศัพท์ของเจ้า Ghostface กลายเป็นเกมส์สยองที่หากเหยื่อตอบไม่ได้ก็ต้องถูกเชือด (ตอบได้ มันก็เชือด!) ใครจำได้บ้างครับว่า มีการพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง…ลองกลับไปเปิดดูหนังอีกรอบละกัน ส่วนการที่นำภาพยนตร์สยองมากล่าวถึงในเรื่องนี้ เป็นการพูดถึงในเชิงยกย่องนะครับ ไม่ได้นำมาเสียดสี ประชดประชันอะไร
นอกจากบทภาพยนตร์แล้วฉากต่างๆ ในเรื่องนี้ก็ยังมีการล้อกับหนังสยองขวัญคลาสสิกหลายเรื่องด้วยเช่นกันนะ มีมาให้เห็นตั้งแต่ฉากแรกที่ Casey (แสดงโดย Drew Barrymore) วิ่งหนีเจ้าฆาตกร แล้วภาพก็ถูกทำให้เป็นแบบสโลโมชั่น หรือฉากที่ Casey ถูกจับแขวนกับต้นไม้ใหญ่ มุมมองของภาพ การให้แสงก็เหมือนกับภาพยนตร์สยองคลาสสิกอีกเรื่อง ลองไปสังเกตดูนะครับ มีอีกหลายเรื่องเลยที่ถูกนำมาเลียนแบบในเชิงยกย่อง
คงไม่เขียนถึงเนื้อเรื่องอะไรให้มากความ ใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญน่าจะผ่านตากับเรื่องนี้อยู่แล้ว สำหรับสาวกหนังสยองขวัญที่เพิ่งหันมาดู มาศึกษาก็ลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดูด้วยนะครับ อย่าชาชินกับความโหดที่หนังสยองยุคนี้ (ยุค 2000) ประเคนใส่ให้มากมายจนชาด้านกับความสนุกสนานในหนังคลาสิกเรื่องนี้ไปล่ะ
อ่อ ลืมบอกไป “Scream” ภาพยนตร์นี้ตราตายี่ห้อ “Wes Craven” ล่ะครับ 🙂
สนุกกับการ “หวีด” ครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 6.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies S - U Tagged with: ผลงาน Wes Carven, รีวิวหนังสยองขวัญ Scream, รีวิวหนังสยองหวีดสุดขีด