Organ (1996)
นำแสดง: Kei Fujiwara (Yoko), Kimihiko Hasegawa, Natsuyo Kanahama (Corpse of female high-school student), Kenji Nasa, Ryu Okubo, Tojima Shozo, Shun Sugata (Nakanishi)
กำกับและเขียนบท: Kei Fujiwara
ประเภท: Horror
เรื่องราวของตลาดมืด การค้าอวัยวะมนุษย์ แก๊งค์ยากูซ่า และตำรวจที่เข้ามาพัวพันกับคดีสุดโหดนี้…ตำรวจโตเกียวนายหนึ่ง ผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อของการกระทำอันสุดโหดร้ายของหมอผู้เชี่ยวชาญการชำแหละ หมอหนุ่มที่เป็นอาจารย์สอนชีวะวิทยาให้กับนักเรียน ผู้ซึ่งมีเบื้องหลังในอดีตอันสุดแสนโหดร้าย เขาใช้ความบริสุทธิ์ของเด็กนักเรียนสาวเป็นอาหารหล่อเลี้ยงร่างกาย เขาทำงานให้กับ Yoko หัวหน้าแก๊งค์ยากูซ่าสาวเลือดเย็น ตำรวจผู้เคราะห์ร้ายถูกหมอหนุ่มนำไปทดลองโดยการตัดแขน ตัดขา และเลี้ยงดูด้วยยาเสพติดชนิดหนึ่ง เพื่อนตำรวจอีกนายออกติดตามสืบสวนคดีนี้ และต้องการจะล้างแค้นให้กับเพื่อนตำรวจด้วยกัน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน Organ…
สุดโหดในฉากขโมยอวัยวะ การทรมาน และการฆาตกรรมสุดโหด
ครบเครื่องในเรื่องความโหดจริงๆ ของสำหรับหนังของ Kei Fujiwara เรื่องนี้ เรียกได้ว่าใครนิยมความสยอง แหวะ อย่างซีรียส์หนังที่เราเคยดูในเรื่อง Guinea Pig หรือใครชอบความโหด ซาดิสต์ โรคจิต อย่างใน ซีรียส์เรื่อง Evil Dead Trap หรือ All Night Long หรือใครชอบการสืบสวน สอบสวน ล้างแค้นในแบบหนัง Thriller แล้วล่ะก็ เรื่องนี้ครบถ้วนดีแท้ครับ
แต่ยังไงก็ต้องบอกไว้ก่อนครับว่า การดำเนินเรื่องของ Kei ในบทภาพยนตร์โดยเฉพาะในส่วนของ Thriller part อาจจะทำไม่ได้เนียนเท่าผลงานหนังเกรด A ทั่วไป แต่หากเทียบกับหนังเกรด B ต้นทุนต่ำแล้ว Kei Fujiwara ทำได้ไม่แพ้ใครทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนของ Horror เธอทำให้สยองแหวะดีแท้
ผลงานของผู้หญิงเก่ง Kei Fujiwara
หากใครเคยดูผลงานของผู้กำกับ Shinya Tsukamoto ในเรื่อง Tetsuo หนัง Horror/ Sci – Fi คงจะคุ้นหน้ากับผู้หญิงที่เป็นดารานำของเรื่องนี้ นั่นก็คือ Kei Fujiwara สาวที่เก่งทั้งบทบาทการแสดง ผู้เขียนบท การทำงานเบื้องหลัง ไปจนถึงหน้าที่ของผู้กำกับ เธอผู้นี้กำกับเรื่อง Organ เป็นเรื่องแรก ก็ถูกหยิบยกชื่อเข้าไปอยู่ในรายชื่อของผู้กำกับหนังสยองขวัญชั้นนำซะแล้ว และนอกจากเรื่องนี้เธอจะกำกับเองแล้ว เธอยังรับบทแสดงนำเป็น Yoko หัวหน้าแก๊งค์ยากูซ่าสาวเลือดเย็นอีกด้วย หากใครได้ดูผลงานของเธอในเรื่องนี้แล้ว สนใจจะติดตามผลงานการกำกับของเธออีกล่ะก็ อย่าพลาดหนัง Thriller เรื่องที่เธอกำกับล่าสุดคือ Ido หรือ ID หนัง Thriller ที่ออกมาในปี 2005 จับจ้องผลงานของผู้หญิงเก่งคนนี้ให้ดีครับ คาดว่าในอนาคต คงจะได้ดูอะไรดีๆ จาก ผู้หญิงเก่งคนนี้อีกแน่นอน…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: Organ japanese horror movie, ผลงานผู้กำกับสาว Kei Fujiwara, รีวิวหนังโหด Organ 1996, หนัง Organ (1996), หนังโหด
One Missed Call 2 (Chakushin ari2) (2005)
สายไม่รับ…ดับสยอง 2
นำแสดง: Mimura(Kyoko), Yu Yoshizawa(Naoto), Asaka Seto(Takako), Renji Ishibashi (Motomiya), Peter Ho (You Ting)
กำกับ: Renpei Tsukamoto
เขียนบท: Minako Daira
ประเภท: Horror
เรื่องนี้ ลุง Takashi Miike ไม่ได้กำกับครับ แต่เป็นผลงานการกำกับของ Renpei Tsukamoto ซึ่งผู้กำกับคนนี้ กำกับหนังมาหลากหลายแนวทางเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น Drama, Horror จนถึงหนังวัยรุ่นให้แง่คิดอย่างเรื่อง Dragon Sakura หรือชื่อไทย “นายซ่า ท้าเด็กแนว” หนังทีวีซีรีย์ที่ทางไอทีวีนำมาฉายและเพิ่งจบไปไม่นานนี้เอง ต้องขอชมว่าเขาเป็นผู้กำกับมากความสามารถในหนังหลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ถึงเป็นปรมาจารย์หนังคัลต์ในแขนง Horror คุณจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในหนังของ Takashi กับ Renpei หนังของ Takashi จะกำกับได้ออกมาในมุมมองที่อึดอัด การตัดภาพย้อนไปย้อนมา ไปจนถึงฉากแหวะทั้งการฆ่าไปจนถึงผีในมุมมองของ Takashi ทำออกมาได้รุนแรงและสยอง ในขณะเดียวกัน หนัง Horror ที่ Renpei กำกับนั้นจะมีแนวทางของ Drama หรือ Romantic เข้ามาผสมด้วย (ในทุกเรื่องที่เขาเคยกำกับมา) ใน One Missed Call ภาคสองนี้ก็เช่นกัน ดูไปดูมาจนถึงตอนจบ ยังนึกว่านั่งดูหนัง Romance Drama สุดเศร้าผสม Horror ยังไงยั้งงั้นเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วก็เป็นหนัง Horror อีกแบบที่ไม่ค่อยมีผีคลานหน้าขาวยั้วเยี้ยเต็มไปหมดทั้งเรื่อง
ใน One Missed Call 2 แทบจะไม่ค่อยมีฉากเลือดสาด แหวะ สยองเท่าในภาคแรก แต่กลับมีการเล่นบทบาทของตัวละครกับช่วงเวลาได้อย่างน่าสนใจ รวมถึงมุมมองของการ เสียสละ ความรักที่มีให้กันจนยอมตายแทนได้…นี่แหละคือความสามารถของ Renpei
เวลาหนึ่งปีผ่านไป หลังจากที่หลายคนรู้จัก “โทรศัทพ์มรณะ” ผ่านรายการโทรทัศน์ในภาคแรกแล้ว เหตุการณ์กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ด้วยโทรศัพท์ Missed Call ที่ผู้รับกดรับแล้วต้องเสียชีวิต หนังนำเอานักสืบอาวุโสโมโตมิยะในภาคแรกเป็นตัวละครเชื่อมต่อหนังทั้งสองภาค หนังเริ่มเฉลยข้อสงสัยในภาคหนึ่ง ทั้งเรื่องของยูมิในฉากสุดท้ายที่ถือมืดยืนอยู่ข้างเตียงของพระเอกที่หลายคนคิดว่าเรื่องราวคงจะจบไปด้วยดีแต่อาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็เป็นได้ จนถึงภูมิหลังทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเด็กผีที่ทำร้ายน้องสาวตัวเอง ตัวหนังพยายามผูกเรื่องให้เห็นที่มาทั้งหมดในภาคแรกไปจนถึงสาเหตุของเรื่องราวความโกรธแค้นทั้งหมดที่มีที่มาจากไต้หวัน ในหมู่บ้านเหมืองแร่ ต้นตอความโกรธแค้นทั้งหมดมีมาจากเด็กคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์รับรู้ว่า “ใครจะตายภายในกี่วัน” ไอ้พรสวรรค์ที่ว่าเนี่ย มันเกิดมาจากว่า ในหมู่บ้านมีโรคระบาด และสาวน้อยคนนี้แหละ พอจะรู้ว่าภายในกี่วันใครจะต้องตาย คนในหมู่บ้านไม่เชื่อเรื่องโรคระบาด กลับไปคิดว่า คำพูดที่ออกจากปากของเด็กคนนี้เป็นคำสาปมรณะที่เมื่อไร สาวน้อยพูดขึ้นมาว่าใครจะตาย แล้วคนคนนั้นจะต้องตายจริง…และนี่แหละคือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดทั้งภาค 1 และภาค 2 หนังพยายามผูกคนทั้งหมดเกี่ยวเข้าด้วยกัน ให้เห็นว่า หนังมีน้ำหนักในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งหมด
หนังเพิ่มความซับซ้อนจากการรับโทรศัทพ์ที่มีเสียงริงโทนมรณะแล้วคนรับจะต้องตายในภาคแรก มาเป็นเรื่องราวที่ว่า ริงโทนที่ดังมาที่โทรศัพท์ไม่จำเป็นต้องเป็นมือถือของตนเอง หากแต่ใครก็ตามที่รับโทรศัพท์ต้องตาย และตรงจุดนี้เอง Renpei นำมาเป็นจุดสำคัญในการพลิกเรื่องตอนจบที่มีการเสียสละชีวิตเพื่อคนรัก
ดูได้เรื่อยๆ ครับ สำหรับภาคสอง เป็นเหมือนหนังเฉลยเรื่องราวใน One Missed Call ทั้งหมด ใครที่หวังจะให้มีฉากผวา ซาดิสม์ สะดุ้งถี่ยิบอย่างในภาคแรก อาจจะต้องผิดหวังกันบ้าง ใครสนใจลองหามาดูได้…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 3.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: รีวิวหนัง One Missed Call 2, รีวิวหนังผี, รีวิวหนังสยองญี่ปุ่น, หนัง One Missed Call 2 (2005), หนังผี
One Missed Call (Chakushin ari)(2003)
สายไม่รับ…ดับสยอง
นำแสดง: Kou Shibasaki (Yumi Nakamura), Shinichi Tsutsumi (Hiroshi Yamashita), Mariko Tsutsui (Mizunuma Marie), Kazue Fukiishi (Natsumi Konishi), Atsushi Ida (Kawai Kenji), Renji Ishibashi (Motomiya Detective), Goro Kishitani (Oka), Yutaka Matsushige (Fujieda Ichiro), Anna Nagata (Okazaki Yoko)
กำกับ: Takashi Miike
เขียนบท: Yasushi Akimoto, Minako Daira
ประเภท: Horror
“เขาเล่ากันว่า…
มีผู้หญิงคนหนึ่งตาย เพราะความเครียดแค้นชิงชัง…
เธอจะคืบคลานมาหาเราผ่านมือถือ…
จากหน่วยความจำหนึ่งไปสู่หน่วยความจำหนึ่ง…
ไปสู่คนต่อๆ ไป…”
คุณจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ถ้ามีโทรศัพท์ที่ขึ้นชื่อตัวของคุณเองโทรเข้ามา ทิ้งเป็น Missed Call ไว้ และเมื่อคุณกดฟังข้อความนั้น กลับกลายเป็นเสียงของตัวคุณเอง และเป็นเสียงในอนาคตที่เป็นสัญญาณเตือนบอกว่า ‘คุณกำลังจะตาย!’
หนังเริ่มด้วยภาพของการสังสรรค์ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กำลังจะจัดทริปไปเที่ยว พร้อมกับการแลกเบอร์มือถือกันไว้ ระหว่างการสังสรรค์โทรศัพท์ของสาวในกลุ่มดังขึ้น พร้อมด้วยเสียงริงโทนที่เธอไม่เคยได้ตั้งเอาไว้ เสียงริงโทนดังจนหยุดไปและขึ้นข้อความ ‘missed call’ – ‘สายที่ไม่ได้รับ’ เมื่อสาวในกลุ่มกดฟังข้อความเสียงนั้น ปรากฏว่าเป็นเสียงของตัวเธอเองที่กำลังประสบความหายนะอยู่ และที่สำคัญข้อความที่ถูกส่งมานั้น ระบุวันที่อีกสามวันข้างหน้า…ความตายเริ่มคืบคลานไปสู่ผู้ที่มีชื่อในโทรศัพท์มือถือที่เกี่ยวข้องกัน และเมื่อมี Missed Call เข้ามาด้วยเสียงริงโทนสุดสยองนั้นแล้ว เขาผู้นั้นจะต้องตาย!
หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ หลายคนคงตั้งข้อสงสัยในหลายๆ เรื่อง หรืออาจจะคิดว่าหนังไม่ค่อยมีเหตุผลในเหตุการณ์หลายๆ ตอน ผมก็เป็นคนนึงที่คิดเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างแค่ตอนจบที่ยูมิถือมีดยืนอยู่ข้างเตียงของยามาชิตะ พระเอกผู้ซึ่งตามหาความจริง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับน้องสาวของเขาเองด้วย ยูมิก้มลง และคายลูกอมเม็ดสีแดงกลมโตให้ ยามาชิตะอมลูกอมและยิ้ม ซาวนด์ประกอบก็เปลี่ยนเป็นเพลงดนตรีสดใส ราวกับว่าเรื่องราวร้ายๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้วนั้น…หลายคนคงนึกว่าเป็นอย่างงี้หรือเปล่าครับ ถ้าใช่..คุณอาจคิด ผิดครับ หากได้ดู One Missed Call : 2 ที่จะเฉลยข้อกังขา และความข้องใจในหลายๆ เรื่องได้ ยังไงลองหามาดูภาคสองด้วยละกัน
หนังเรื่องนี้ได้นางเอกมากความสามารถ ‘Shibasaki Kou’ เจ้าบทบาทแห่งหนังโคตรโหดอย่าง Battle Royal และพระเอกในเรื่องนี้เราคงคุ้นหน้ากันเพราะเป็นตัวนำในละครซีรีย์ญี่ปุ่นที่ชื่อ GoodLuck ซีรีย์ชื่อดังที่ไอทีวีนำมาฉาย เรียกว่านักแสดงในเรื่องมีส่วนช่วยให้ตัวหนังแข็งแรง และน่าดูมากยิ่งขึ้น
มาดูในส่วนของผู้กำกับหนังเรื่องนี้กันบ้าง…ลุง Takashi Miike ผู้กำกับหนังคัลต์ที่ทำหนังได้โรคจิตไม่เสื่อมคลายมารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ ในเรื่องนี้ MinaKo Daira และ Yasushi Akimoto เขียนบท โดยใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนเรา นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ มาเป็นตัวดำเนินเรื่อง ลุง Takashi แกมีเอกลักษณ์ในแผ่นฟิล์มดีครับ ดูแล้วได้อารมณ์ ราวกับมีลายเซ็นบนแผ่นฟิล์มอย่างไงอย่างงั้น สิ่งหนึ่งที่ลุง Takashi ชอบใช้ในหนังของแก คงไม่พ้น เรื่องราวที่มีอดีต เรื่องของการกดขี่เพศหญิง ความสัมพันธ์แบบวิปริตของครอบครัว และเรื่องนี้ก็เช่นกัน “ความรู้สึกแย่ๆ ที่มีต่อแม่” คือ สิ่งที่ยูมิ และผีเด็กที่มีความรู้สึกเดียวกัน การสื่อสารและจิตใต้สำนึกสามารถสื่อเข้าถึงกันได้…ลุง Takashi แกทำหนังเอาคนงงได้ไม่น้อยจากจุดตรงนี้…เรียกว่าหนังมันสามารถจินตนาการออกมาได้หลายรูปแบบครับ ลองคิดเล่นๆ กันไปก่อน และหาภาคสองมาดู น่าจะเฉลยข้อสงสัยหลายๆ อย่างได้ เห็นทางฮอลิวูดมีโครงการจะนำหนังเรื่องนี้มารีเมคกันด้วย คาดว่าถ้าทำออกมาจะเสร็จในปี 2007 นี้ ก็คงเหมือนหนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องที่ถูกนำไปทำใหม่ในเวอร์ชั่นของฮอลิวูด คงต้องรอติดตามดูกันต่อไปครับ …
…
…
“พี่ชายคะ…คนแต่ละคนมีชะตาเป็นของตัวเอง” คำพูดที่เสมือนคีย์เวิร์ดของหนังเรื่องนี้ ก็ว่าได้ครับ…
อัพเดท 15/12/2012: ผมรีวิวหนังเรื่องนี้สักประมาณปี 2006 ได้นะครับ ก่อนหน้านี้ที่เขียนว่ามีข่าวว่าฮอลิวู้ดจะซื้อหนังเรื่องนี้ ก็เป็นไปตามนั้นนะครับ มีการซื้อและทำออกมาในฉบับฮอลิวู๊ดในปี 2008 ที่ผ่านมานี่เอง ใครได้ดูฉบับฮอลิวู้ดแล้ว ก็แสดงความคิดเห็นกันหน่อยครับว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะผมยังไม่ได้ดูเลย ไว้มีโอกาสได้ดูจะนำมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อไปครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: ผลงานผู้กำกับ Takashi Miike, ผู้กำกับ Takashi Miike, รีวิว One Miised Call 2003, รีวิวหนังผี, รีวิวหนังสยองญี่ปุ่น, สายไม่รับ ดับสยอง, หนังผี
Nude for Satan (1974)
Nuda per Satana
นำแสดง: Rita Caldana (Susan Smith/Evelyn as Rita Calderoni), James Harris (Giuseppe Mattei), Renato Lupi (Butler), Iolanda Mascitti (Servant Girl), Barbara Lay (Brown coven member), Augusto Boscardini (Naked man), Alfredo Pasti (Naked man), Stelio Candelli (Dr. William Benson/Peter)
กำกับและเขียนบท: Luigi Batzella
ประเภท: Horror / Nudity
ในขณะที่ดอกเตอร์เบนสัน กำลังขับรถออกนอกเมืองเพื่อรีบไปรักษาคนไข้ที่กำลังป่วยหนัก เขาได้ขับผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุรถชน และได้ช่วยเหลือหญิงสาวสวยที่สลบอยู่ในรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ ดอกเตอร์เบนสันพยายามขับรถมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากบ้านเรือนที่อยู่บริเวณนั้น และได้มาเจอกับคฤหาสน์หลังงาม ดอกเตอร์ส่งเสียงร้องทักทายคนในคฤหาสน์ดังกล่าว…จนมีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาเปิดประตูให้ เหตุการณ์ความผิดเพี้ยน มนต์ดำ คาถา และซาตานได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อดอกเตอร์เบนสันได้พบว่า หญิงสาวที่มาเปิดประตูให้เขานั้น หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขาช่วยเหลือจากอุบัติเหตุ!
Luigi Batzella ผู้กำกับหนังสยอง อิโรติก ชาวอิตาเลียนที่ชื่นชอบในทางของตำนาน Vampire, Satanic อาจไม่ได้เทียบชั้นเท่าผู้กำกับหนังคัลต์สัญชาติเดียวกันอย่าง Dario Argento หรือ Lucio Fulci ผู้สร้างตำนานหนังสยองชั้น “คัลต์” ก็ตาม แต่ Luigi Batzella ก็ได้ฝากงานสยองขวัญในแนวทางของเขาไว้ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของแฟนหนังสยองที่นิยมตำนานแวมไพร์ และซาตานิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นิยมติดตามผลงานของผู้กำกับสัญชาติอิตาเลี่ยน
Nude for Satan ใช้บทหนังง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องคาดเดาให้ปวดหัว คุณอาจสับสนกับหน้าตาของนักแสดงที่คล้ายคลึงกันบ้าง จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หรือไม่คุณก็มัวแต่เพ่งนมของเจ้าหล่อนที่ชูชันงามงอมน่าดึงดูดเป็นที่สุด…Nude for Satan เป็นหนังสยองที่ใช้ความเป็นเซอร์เรียลเข้ามาช่วยให้ได้อารมณ์หลอน เพี้ยน เสริมแต่งด้วยซาวนด์ขำๆ แปลกๆ ตามสไตล์หนังสยองยุค 70’s ที่นิยมใช้กันเหลือเกิน นี่เป็นอีกหนึ่งในหนังสยองต้นทุนต่ำเข้าชั้น ‘หนังขยะ’ สุดคลาสสิกที่แฟนหนังขยะคลั่งไคล้กันไม่น้อย ใครสนใจงานยุค 70’s อารมณ์หนังพี้ยา เต็มไปด้วยภาพลวงตา และนมงาม ๆ ก็ติดตามหามาดูได้ครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 2.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: รีวิวหนัง Nude for Satan, รีวิวหนังสยองอิโรติก, หนังผลงานผู้กำกับชาวอิตาลี, หนังอิตาเลี่ยน, หนังอีโรติก สยองขวัญ
The Nun (2005)
La monja
นำแสดง: Belen Blanco (Julia), Oriana Bonet (Eulalia), Anita Briem (Eva), Tete Delgado (Cristy), Natalia Dicenta (Susana), Alistair Freeland (Joel), Manu Fullola (Gabriel), Paulina Galvez (Zoe), Lola Marceli (Mary), Cristina Piaget (The Nun), Montse Pla (Joana)
กำกับ: Luis De La Madrid
เขียนบท: Jaume Balaguero, Manu Diez
ประเภท: Horror
เรื่องย่อ: กลุ่มนักเรียนหญิงวัย 15 ปี 6 คนต้องทนทุกข์อยู่ในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง แต่ละวันพวกเธอต้องเผชิญกับแม่ชีที่ทั้งคุกคามและปฏิบัติต่อพวกเธออย่างทารุณ วันหนึ่งแม่ชีคนนั้นพบว่านักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มตั้งท้อง เธอรู้สึกอับอายมาก และพยายามจะชำระความบริสุทธิ์ให้ เพื่อนๆของนักเรียนสาวคนนั้นเห็นเธอทรมาน ด้วยความกลัวระคนโกรธแค้น ทั้งหกจึงตัดสินใจช่วยเพื่อนเอาไว้ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นแม่ชีคนนั้นอีกเลย และไม่กี่สัปดาห์โรงเรียนแห่งนั้นก็ถูกปิด
…17 ปีต่อมา นักเรียนสาว 6 คนนั้นต่างก็มีชีวิตของตนเอง พวกเธอสร้างชีวิตใหม่โดยไม่ติดต่อกันเลย เพราะต่างก็หวังว่าความลับครั้งนั้นจะถูกฝังไว้ในอดีตตลอดกาล แต่แล้วคืนหนึ่ง 1 ใน 6 ของกลุ่มนั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ไม่กี่วันถัดมาอีกคนหนึ่งก็กลายเป็นศพในสภาพที่สยดสยองไม่แพ้กัน หญิงสาวที่เหลือเริ่มคิดว่าการตายของเพื่อนๆอาจมีบางอย่างเกี่ยวพันกัน และหากเป็นเช่นนั้น ชีวิตของพวกเธอก็กำลังตกอยู่ในอันตราย ทั้งหมดจึงจำต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหาทางหยุดวิญญาณแม่ชีตนนี้ก่อนที่พวกเธอจะกลายเป็นศพต่อไป เพราะทุกคนรู้ดีว่าแม่ชีตนนั้นกลับมาแล้ว และกำลังออกแก้แค้น…
…ทางเดียวที่จะหยุดเรื่องราวนี้ได้ก็คือต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น นั่นก็คือ โรงเรียนประจำแห่งนั้น อีวา คือ สาวน้อยวัย 17 ปี ที่สูญเสียแม่ไปจากการออกล้างแค้นของผีแม่ชี เธอร่วมมือกับเพื่อนๆ หาทางหยุดความคลั่งของแม่ชีตนนี้ แต่การออกตามหาความจริงครั้งนี้กลับทำให้เธอได้ค้นพบอดีตอันดำมืดและน่ากลัวของตนเอง
แม่ชีสเปน…
กำลังคิดอยู่ว่า แม่ชีสเปน จะเหมือนแมลงวันสเปนด้วยหรือเปล่า? (ไม่ได้เกี่ยวกันเลย) หนังแม่ชีจากสเปนเรื่องนี้สร้างในปี 2005 ครับ แต่บ้านเราเอามาฉายกันเมื่อประมาณต้นปี 2006 (ถ้าจำไม่ผิด) โดยมงคลเมเจอร์ ผีแม่ชี ถูกเขียนบทภาพยนตร์โดย Jaume Balaguero ผู้ซึ่งเคยฝากผลงานสุดตราตึงไว้ให้เราชมแล้วกับเรื่อง The Nameless หนัง Horror สุดคลาสสิกเมื่อปลายยุค 90 จนมาถึง Darkness หนัง Horror อีกเรื่องที่เขารับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ นอกจากนั้น หนังที่เข้าฉายบ้านเราในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 เรื่อง Fragiles ก็เป็นผลงานการเขียนบทของเขาด้วยเช่นกัน (ที่จริงเรื่องนี้ สร้างในปี 2005 ครับ) และ The Nun ยังเป็นผลผลิตอีกชิ้นของ Brian Yuzna (ในหนัง ฉากที่อยู่บนเครื่องบิน ที่ Eve กำลังเดินทางไปสเปน และได้ดูหนังของ Brian Yuzna บนเครื่องบินด้วย…กลัวเขาไม่รู้กันหรือไงว่า นี่เป็นหนังของ พี่ Yuzna อิ อิ) ที่สร้างชื่อจากการกำกับหนัง The Dentist, หนังตระกูล Re-Animator และหนัง Horror อีกหลายเรื่อง…จะว่าไปนี่คือ เหตุผลที่ผมหยิบหนังผีแม่ชี มาดูครับ เพราะเท่าที่อ่านเรื่องย่อมาตั้งแต่หนังเข้าฉาย แล้วก็ไม่ได้ดึงดูดอะไรให้อยากดูเลย…
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดครับ ตัวหนังไม่ได้มีอะไรหวือหวา ฉากน่ากลัวก็ไม่ได้น่ากลัว หรือ หลอกหลอน กดดันอย่างอึดอัด ตัวหนังกลับทำได้เชื่องช้า ผีแม่ชีที่ถูกกดน้ำตาย ก็จะปรากฏตัวโดยผ่านสื่อทางน้ำ เหมือนได้แรงบันดาลใจจากหนังผีเอเซียบ้านเราในหลายๆ เรื่อง ที่ผีปรากฏตัวผ่านสื่อตัวกลางทาง ‘น้ำ’ และก็ไม่ได้ขายความรุนแรง และเรื่องทางเพศในแบบหนังจำพวก Nunsploitation ชอบใช้อีกด้วย
จุดดีจุดเดียว น่าจะเป็นในเรื่องของบทภาพยนตร์ การนำความเชื่อทางศาสนา ในเรื่องบาปมาเชื่อมโยงโดยผ่านชื่อของตัวเอกในเรื่องทั้ง 6 คน กับลีลาการตายที่แตกต่างกัน ตามเรื่องเล่าทางศาสนา ที่กลายมาเป็นจุดพีคของเรื่อง…
หนังไม่ได้ให้ลุ้นอะไรมากครับ มีตอนจบที่หักมุมด้วยคำเฉลยของหนุ่มที่เป็นแฟนเพื่อนนางเอกคนนึง ที่ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ เกิดฉลาดปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างลงตัวทั้งหมดได้อย่างไรกัน หรือว่า หนังต้องการหักมุมให้จบลงซะงั้น ดื้อ ๆ ก็ว่าได้ ใครอยากดู แม่ชีผีสเปน ก็ลองไปหาซึ้อ ดีวีดี วีซีดี ที่ขายอยู่เกลื่อนตามบ้านเราได้ครับ มีลิขสิทธิ์ออกมาให้ได้สะสมกัน
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 2.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: รีวิว the nun 2005, รีวิวหนังผี, หนังของ Brian Yuzna, หนังผี, หนังผีแม่ชีสเปน, เขียนบทโดย Jaume Balaguero
Night Terrors (1993)
นำแสดง: Robert Englund (Marquis De Sade/Paul Chevaller), Zoe Trilling (Genie), Alona Kimhi (Sabina), Juliano Mer (Mahmoud), Chandra West (Beth), William Finley (Dr. Matteson), Irit Sheleg (Fatima)
กำกับ: Tobe Hooper
เขียนบท: Rom Globus, Daniel Matmor
ประเภท: Horror
เรื่องย่อ…
สาวน้อยจินนี่ (Zoe Trilling) เดินทางมาพักกับพ่อของเธอซึ่งเป็นนักโบราณคดีในกรุงไคโร อียิปต์ ขณะที่พ่อของเธอกำลังง่วนอยู่กับงานขุดค้นซากโบราณทางประวัติศาสตร์ จินนี่ได้พบกับซาบีน่า (Alona Kimhi) สาวลึกลับแสนสวยซึ่งพาเธอเข้าสู่วังวงของลัทธิวิปริตที่หลงใหลในความรุนแรง ที่มี พอล เซวาเลีย หรือ มาคีย์ เดอ ซาด (Robert Englund) เป็นเจ้าของลัทธิ เขาต้องการตัวจินนี่ ผู้หญิงแสนสวยที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อในเกมที่เขาได้รับสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
ผิดหวังกับ Tobe Hooper ชิบ@!#!….
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือ Tobe Hooper ครับ…พอเห็นชื่อลุงคนนี้ก็ต้องรีบคว้าแผ่นนี้เอาไว้เลย ก็ไอ้หนังยุค 80’s สุดคัลต์อย่าง Poltergeist ที่ลุงแกเคยกำกับไว้ มันโคตรเจ๋งเลย นอกจากนั้นลุงแกยังได้กำกับ The Texas Chainsaw Massacre (1974) , Tales from the Crypt (TV series) ในหลายตอนที่ทำออกมาได้สยอง หลอน อย่างเรื่องล่าสุดคือ The Mangler ก็ถือว่าโอเค แต่พอได้มาดู Night Terror แล้วกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก นอกจากฉากสยองมีน้อยแล้ว ฉากที่มีอยู่ก็ไม่เด่น และจัดจ้านหลอกหลอนอารมณ์คนดูเหมือนในยุคก่อนๆ ที่ลุงแกเคยทำ (มีข้อดีตรงฉาก Sex นี่แหละที่ทำได้อารมณ์ร้อนแรงสไตล์อาหรับดีเหลือเกิน^^)
มาตรฐาน Robert Englund…
ลุงอีกคนที่ดึงดูดให้ผมอยากดูเรื่องนี้คือ Robert Englund นักแสดงมาตรฐานสากลที่ทำได้ดีไม่มีตก ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ลุงคนนี้แกนิยมเล่นหนังสยองเหลือเกิน ผมว่าหลายคนพอเห็นหน้าแก คงต้องร้องอ๋อ ไปตามๆ กัน Robert Englund รับบทในหนังเรื่องนี้เป็น มาคีย์ เดอซาด ขุนนาง เจ้าลัทธิ ชายชู้ คนบาป Anti-Christ จอมเชื้อโรค กามวิปริต จิตวิตถาร ผู้พิสมัยความรุนแรง และการถูกทรมาน ชื่อที่บ่งบอกถึงความซาดิสต์ แบบหาที่เปรียบไม่ได้ ไอ้หน้าตาโรคจิตของแกนี่แหละ ดึงดูดให้ชาวบ้านหลอนมาแล้วหลายเรื่อง ในเรื่องนี้ก็เช่นกันลุงแกก็ยังคงถ่ายทอดจินตนการความชั่วร้ายออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ถ้าใครจะซื้อหนังเรื่องนี้ เอาความโหดร้าย พล๊อตเรื่องเจ๋งๆ ฉากเลือดสาด หัวหลุด สมองกระจายเต็มจอ คงต้องถอยให้ห่างครับ หน้าปกโหด ผู้กำกับชื่อดัง แต่หนังห่วย… เอาเป็นว่าข้อดีอย่างเดียวคือ ใครเป็นแฟน Robert Englund ซื้อมาดูก็ถือว่าไม่เสียเปล่าครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 2.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: ผลงานการแสดงของ Robert Englund, ผลงานผู้กำกับ Tobe Hooper, ผู้กำกับ Tobe Hooper, หนัง Night Terrors 1993
Nekromantik 2 (1991)
นำแสดง: Monika M.(Monika), Mark Reeder (Mark)
กำกับ: Jorg Buttgereit
เขียนบท: Jorg Buttgereit และ Franz Rodenkirchen
ประเภท: Horror/Thriller/Romance
“หนังรักร่วมศพ” ภาคต่อ…ที่เน้นอารมณ์รักโรแมนติกเป็นสองเท่า! เรื่องราวของการต่อสู้ภายในจิตใจของพยาบาลสาวที่ต้องเลือกสิ่งสนองตัณหาเชิงสังวาสระหว่าง “ศพ” กับ “คน”
เรื่องย่อ…
หลังจาก Nekromantik ภาคแรก ภาพสุดท้ายจบลงด้วยภาพหลุมศพของ Rob และมีผู้หญิงคนนึงพร้อมจอบกำลังจะมาขุดศพ…ภาพหยุดลงตรงนั้นให้เราเดาต่อกันเอง…มาจนถึงภาคสอง Monika พยาบาลสาว (โคตรสวย) เธอผู้นี้นี่เองที่มาขุดศพของ Rob ไป และนำไปสังวาสสนองตัณหาของเธอที่บ้าน Monika ทำความสะอาดศพ ใส่เสื้อผ้าให้ศพ พูดคุย ถ่ายรูป ราวกับว่าเธอใช้ชีวิตอยู่กับคู่รักที่เป็นคนยังไงยังงั้นเลย มีอยู่วันนึงที่ Monika ไปดูหนังที่โรงหนังและพบกับหนุ่มรูปหล่อ Mark ที่ทำอาชีพเป็นนักพากษ์หนังโป๊ ก็เกิดปิ๊งกันเข้า ความรักจึงบังเกิดขึ้น ทำให้ Monika ต้องเลือกระหว่าง ศพ (หนุ่ม) กับ มนุษย์ (หนุ่ม) การต่อสู้ภายในจิตใจของเธอจึงเริ่มขึ้น…แล้วเธอจะเลือกใคร คุณลองไปหาดูเองเองละกัน…
“หนังรักร่วมศพ” กลายเป็น “โรแมนติก…รักร่วมศพ”
ในภาคต่อนี้ ผมว่า Buttgereit พยายามใส่เนื้อเรื่องที่มีความโรแมนติกเข้าไปในหนังมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
– มีบทที่แสดงเปรียบเทียบให้เห็นถึงการใช้ชีวิตรักร่วมกันระหว่างศพ กับการใช้ชีวิตรักร่วมกับ Mark แฟนหนุ่ม เมื่อหนังแสดงเปรียบเทียบให้เห็นการใช้ชีวิตของทั้งสองแบบแล้ว ผมว่า เวลาคุณนั่งดูหนังอยู่ คุณคงจะลุ้นอยู่เหมือนกันว่า ตกลงแล้ว Monika จะเลือกใคร…นาย Buttgereit เล่นกับความรู้สึกของคนดูในจุดตรงนี้ได้ดีทีเดียวครับ
– ฉากการทำลายศพของ Monika ในอ่างน้ำ ที่เธอต้องหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ แล้วยัดใส่ถุงขยะ…ในขณะที่เธอกำลังทำลายศพอยู่นั้น ในคมมีดที่เฉือนลงศพแต่ละครั้ง ก็มีน้ำตาหลั่งออกมา ด้วยความรู้สึก “สูญเสียคนรัก” มันช่างเป็นหนึ่งฉากโรแมนติกที่ทำออกมาได้กินใจผมทีเดียว มีทั้งความโรแมนติก ความเศร้า เหงา ปนเปกันอยู่
เหตุของคนที่ชอบข่มชืนศพ…
ตั้งแต่ภาคแรกมาแล้ว ใครที่ได้ดูจะเห็นพฤติกรรมของคนที่ชอบข่มขืนศพ หรือ ร่วมเพศกับศพ พฤติกรรมที่ว่า นั่นก็คือ การชอบคุมเกม คนที่ชอบบงการ หรือควบคุมคู่นอน นั่นแหละ คือหนึ่งในเหตุผลของนักจิตวิทวาที่กล่าวถึงคนที่ชอบร่วมรักกับศพ เราเห็นกันไปในภาคที่แล้ว อย่างตอนที่ Rob จะมีเซ็กส์กับโสเภณี ในขณะที่ Rob กำลังจะสอดใส่ ดูเหมือนว่าสมรรถภาพทางเพศของเขาจะไม่ดีเท่าที่ควร Rob บีบคอโสเภณีให้ตายคามือ เขาเริ่มบรรเลงเพลงรักใหม่ ความฟิต ปึ๋งปั๋ง อารมณ์ดิบเถื่อนกลับมา เขาร่วมรักกับศพอย่างเมามัน ส่วนในภาคนี้เราจะเห็นได้ชัดจากพฤติกรรมของ Monika แม้ Monika กำลังร่วมรักกับแฟนหนุ่มอย่างเมามัน ในหลายท่าทาง สุดท้ายแล้ว เธอจะต้องจบลงด้วย ท่าที่เธออยู่ข้างบน คุมเกม ควบตะบึง พร้อมทั้งใช้เข่าทับแขนทั้งสองข้างของแฟนหนุ่มไม่ใช้ขยับไปไหน…ในสายตาของ Monika คือ เธอกำลังควบตะบึงอยู่บนร่างกายของสิ่งที่ตกเป็นทาสของเธอ สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่า “ศพ” นี่แหละครับ คือ เหตุผลจริงๆ ที่นักจิตวิทยาได้ กล่าวเอาไว้ และ Buttgereit ก็นำมาแสดงให้เห็นในหนัง
อิโรติกสยอง…
ฉากอิโรติกในภาคนี้เพียบครับ ทั้งการร่วมรักกับคน และ ศพ ผมว่าถ้าใครที่ได้อ่านรีวิวเรื่องนี้ และอยากดูหนังเรื่องนี้ คงจะต้องดูทั้งวัย วุฒิภาวะกันก่อน นะครับ ผมว่าพ่อ แม่ของคุณอาจจะรับกับหนังเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ…เพราะมันมี มุมกล้องที่ช่างเหมือนหนังโป๊อย่างไม่ผิดเพี้ยน ดูเพื่อความบันเทิง…อย่าไปทำตามล่ะ
ฉากสยองบทหนึ่งที่ Monika ตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใครดี ระหว่าง ศพ กับ คน ฉากนั้นเป็นฉากที่ Monika กำลังร่วมรักกับ Mark อยู่ในขณะที่กำลังจะถึงจุดสุดยอด Monika ใช้มีดหั่นคอ Mark อย่างเมามัน จนคอหลุดออกมา หล่อนรีบลุกขึ้น เอาหนังยางรัดน้องชายบนร่างของ Mark ไว้ให้มันแข็งโด่พร้อมใช้งานได้ต่อ แล้วหล่อนก็วิ่งไปเอาหัวของศพที่เธอเคยทำลายไปแล้ว เอามาใส่บนร่างกายของ Mark และหล่อนก็สังวาสศพต่ออย่างเมามัน… นั่นคือ ฉากจิตป่วนมากที่สุดแล้วในเรื่องนี้ บทที่กำลังจะบอกว่า พฤติกรรมการรักร่วมศพของ Monika หรือของใครก็ตามที่ชื่นชอบแบบนี้แล้ว จะเปลี่ยน พฤติกรรมไปชอบคนนั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ
บทส่งท้าย และคำถามที่ Buttgereit ทิ้งไว้…
มีอีกหนึ่งฉากในหนังเรื่องนี้ที่คุณอาจจะต้องตะลึง นั่นก็คือ ฉาก Meeting กลุ่มเพื่อนของ Monika พวกหล่อนนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับดูวีดีโอโลกสัตว์น่ารัก ภาพบนจอทีวี ฉายให้เห็นพฤติกรรมที่น่ารักของแมวน้ำ ไปจนกระบวนการที่แมวน้ำถูกจับ และถูกถลกหนังชำแหละ ออกเป็นส่วนๆ เพื่อนำไปขาย…โอ้…ภาพความรุนแรงของแมวน้ำที่ถูกชำแหละออก ตัดกับภาพที่กลุ่มเพื่อนของ Monika นั่งกินสเต็กกันอย่างอร่อยนั้น มันแหวะได้เรื่องจริงๆ ครับ ในฉากนี้ คุณจะเห็นได้เลย..Buttgereit แสดงให้เห็นว่า มีคนที่ชื่นชอบความรุนแรงหรือมีพฤติกรรมการอยู่ร่วมกับศพที่เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาอีกหลายคน ไม่ใช่เพียงแค่น้องนาง Monika จิตป่วนเพียงคนเดียว โลกกลมๆ ที่เราเห็น หญิงสาวชายหนุ่มหน้าตาดี เดินผ่านไปมานั้น…เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า พวกเขาเหล่านั้นจะมีพฤติกรรมแบบในหนังเรื่องนี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คุณลองถามตัวคุณเองว่า…
“เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณตอนนี้มีใครชอบรักร่วมศพบ้างหรือเปล่า?!?!?”
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: nekromantik 1991, nekromantik 2, ผลงานผู้กำกับ Jorg Buttgereit, ผู้กำกับ Jorg Buttgereit, ผู้กำกับหนังรักร่วมศพ, หนังรักร่วมศพ
Nekromantik (1987)
นำแสดง: Daktari Lorenz (Robert Schmadtke), Beatrice Manowski (Betty), Harald Lundt (Bruno), Colloseo Schulzendorf (Joe)
กำกับ: Jorg Buttgereit
เขียนบท: Jorg Buttgereit และ Franz Rodenkirchen
ประเภท: Horror/Thriller/Romance
เรื่องย่อ…
“Nokromantik” แค่ชื่อก็ “สื่อ” กันแล้ว..ความสยองขวัญในแบบรักโรแมนติกจะออกมาเป็นเช่นไร…
เรื่องราวของสองหนุ่มสาว Rob และ Betty ที่อยู่กินด้วยกัน ต่างก็มีอารมณ์วิปลาสในลักษณะชอบร่วมรักกับศพ ชอบความรุนแรง ชอบสะสมเครื่องในอวัยวะมนุษย์เป็นงานอดิเรกเหมือนกัน Rob หนุ่มผู้ขยันขันแข็ง ทำงานในลักษณะร่วมกตัญญู คอยเก็บศพตามท้องถนน…สิ่งที่ Rob ควรทำคือ นำศพไปที่ออฟฟิศ แต่เขากลับนำศพที่เน่าเหม็นในหนองน้ำไปไว้ที่บ้าน Betty แฟนสาวพึงพอใจเป็นอย่างมาก การร่วมรักกับศพในลักษณะ หนึ่งหญิง หนึ่งหนุ่ม และหนึ่งศพ! จึงเริ่มต้นขึ้น…เรื่องราวกลับรุนแรงขึ้น เมื่อ Betty แฟนสาวอยากจะเก็บศพไว้เป็นของเธอคนเดียว เธอจึงจาก Rob ไปพร้อมกับศพ พร้อมกับทิ้งจดหมายลาไว้คำพูดเพียงว่า “ศพนี้ คงเป็นของขวัญที่เธอมอบให้กับฉันนะ” เรื่องราวในตอนท้ายจะเป็นอย่างไร ติดตามหามาดูกันเองครับ
“หนังรักร่วมศพ”
ส่งตรงจากเยอรมณี…หนังต้นทุนน้อย โปรดักชั่นต่ำ แต่กลับถูกยกย่องจากหลายคนที่นิยมดูหนังสยองจิตเภทให้เป็นหนังเข้าขั้นคัลต์ ในขณะที่อีกหลายๆ คนและหลายๆ สถาบัน บอกว่าเป็นหนังจิตเสื่อมที่ทำออกมาได้ห่วย เข้าขั้นยอดแย่ ใครจะว่ายังไงก็ตาม หนังเรื่อง Nekromantik กลายเป็นหนังสร้างชื่อให้กับ ผู้กำกับ Jorg Buttgereit เลยทีเดียว…ไม่รู้ว่างานนี้จะเป็นชื่ออื้อฉาว หรือว่าชื่อในคำยกย่องกันแน่…ผู้ชมตัดสินใจกันเอาเอง
ฉากสยองเชิงสังวาส…
ต้องบอกก่อนว่า ใครจะดูหนังเรื่องนี้ต้องทำใจเรื่องโปรดักชั่นจริงๆ ครับ ทุกอย่างขอบอกว่า “ห่วย” กับความไม่สมจริง…ทำใจลืมเรื่องโปรดักชั่นแล้ว มาจดจ่อกับความขยะแขยง สยองในแบบที่ Jorg Buttgereit มอบให้ดีกว่า ฉากที่ผมจะกล่าวนี้ เป็นฉากระดับโรคจิตเข้าขั้น “คลาสสิก” ที่ทำให้หลายคนกล่าวยกย่องเรื่องนี้เป็นหนังคัลต์กันเลย…
– เริ่มต้นที่ฉากร่วมรัก หนึ่งศพ หนึ่งชาย หนึ่งหญิง ในแบบหื่นกระหาย เซ็กส์ วิปริตอย่างรุนแรง ภาพฉายไปที่ Rob กำลังเลื่อยท่อนเหล็กขนาดความยาวเจ็ดนิ้ว ส่งให้ Betty นำไปปักตรงบริเวณอวัยวะเพศชาย เมื่อได้ที่แล้ว Betty คลี่ถุงยางออกมาสวมใส่ไปที่แท่งเหล็กยาวเจ็ดนิ้ว หล่อนเริ่มบรรเลงเพลงรักได้สุดวิปริต ร่วมกับ Rob และศพ…Buttgereit ใช้ภาพในแบบสโลโมชั่น ดีเลย์ เพื่อทำให้ภาพดูซอฟท์ลงเยอะ แต่ใช่ว่าความหื่นวิปลาสจะลดลง
– ฉากที่ Betty อยู่กับศพตามลำพังสองต่อสอง เธอพูดคุย เล่าสิ่งต่างๆ ให้ศพฟัง ก่อนจะสังวาสกับศพอย่างเมามัน ด้วยท่าทางต่างๆ ในแบบที่คุณแหวะได้!
– หลังจากที่ Betty ตีจาก Rob ไปแล้ว Rob ก็เกิดอาการเศร้า ผสม หื่น จนต้องลงที่สัตว์ผู้เคราะห์ร้ายนั่น ก็คือ แมว Rob จับแมวเหวี่ยงกระแทกฝาผนัง พื้น จนไส้ทะลักแตกตาย และ Rob นำไส้แมวสด ๆ มาลูบไล้ร่างกายตัวเอง สนองตัณหา สำเร็จกามาในอ่างน้ำอย่างมีความสุข
– ฉากที่ Rob เกิดอารมณ์หื่นจัด จนต้องไปหาความสุขจาก “คุณตัว” Rob และคุณตัวกำลังจะร่วมรักกันบนแท่นหินสุสาน แต่ Rob กลับไม่มีสมรรถภาพในการร่วมกับคุณตัวเลย…Rob ตัดสินใจฆ่าคุณตัวตาย และร่วมรักกับศพอย่างเมามัน….ฉากที่แสดงให้เห็นถึงความวิปริต จิตผิดปกติ ที่ต้องการร่วมรักกับศพอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ไม่เกี่ยว!
– ฉากสุดท้าย สุดอุบาทว์ โลกวิตถารสังวาสต้องจารึกนั่นคือ ฉากที่ Rob กระทำการอัตวิบากกรรมเพื่อสำเร็จความใครของตัวเอง ภาพฉายที่กระเจี๊ยวเทียมที่ปักอยู่บนตัวของ Rob มีน้ำว่าวพุ่งออกมาราวปืนฉีดน้ำ จากน้ำว่าวสี ขาวขุ่น กลายเป็นสีเลือดเข้มข้น!
แง่คิดและบทส่งท้าย…
ในช่วงแรกของหนังเรื่องนี้ จะมีฉากที่ Rob นอนดูทีวีอยู่บนเตียง ในฉากนั้นแหละมีข่าวที่เหมือนกับว่านักจิตวิทยากำลังกล่าวถึง ความรุนแรงจากสื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของคนดู ทั้งการดูหนังที่มีเรื่องราวแต่กามา ฉากที่มีแต่การข่มขืน พฤติกรรมที่อยู่ในขั้นจิต”ธรรมดา” ไปเหนือสู่จิต”ขั้นกว่า” ซึ่งก็คือ การสังวาสกับคนตาย ตรงจุดนี้ผมว่า Buttgereit พยายามจะสื่อแง่คิดดีๆ ลงไปในหนังด้วย เป็นความฉลาดของผู้กำกับที่พยายามจะสอดแทรกแง่คิด และคำเตือนใจให้กับผู้ใหญ่ หรือ ผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลลูกหลาน หรือคนใกล้ชิด ในการเสพสื่อให้ถูกวิธี…
ว่าไปแล้ว…อย่างพวกเราคนดูหนังสยอง คนเล่นฟิล์มสยอง จะทำให้พวกเรากลายเป็นโรคจิตยังงั้นด้วยหรือเปล่านา!…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: ผลงานผู้กำกับ Jorg Buttgereit, ผู้กำกับ Jorg Buttgereit, ผู้กำกับหนังรักร่วมศพ, รีวิวหนัง Nekromantik, รีวิวหนังรักร่วมศพ, หนัง Nekromantik 1987, หนังรักร่วมศพ
Naked Blood (1995)
Nekeddo buraddo: Megyaku | Itainoga suki | Megyaku: Akuma no yorokobi | Naked Blood: Megyaku | Splatter: Naked Blood
นำแสดง: Misa Aika (Rika Mikami), Yumika Hayashi (Gluttonous Woman), Mika Kirihara (Vain Woman), Sadao Abe (Eiji Kure), Masumi Nakao (Yuki Kure, Eiji’s mother), Tadashi Shiraishi (Eiji’s father), Seiya Hiramatsu (Eiji, the progeny)
กำกับ: Hisayasu Sato
เขียนบท: Taketoshi Watari
ประเภท: Horror
Hisayasu Sato ผู้กำกับชาวญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังสยองแหวะชื่อดังในตลาดหนัง Gore ทั่วโลก ที่มีชื่อไม่แพ้ Takashi Miike เลยทีเดียว หากแต่ Sato ยังคงต้องการเดินทางสู่กลุ่มตลาดหนังผู้ชื่นชอบหนังอินดี้ หนังเกรดบี เท่านั้น ชื่อเสียงของ Hisayasu Sato จึงไม่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
Sato กำกับหนังมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังในแบบ Drama ตลกร้ายแบบ Black Comedy ไปจนถึง Horror สุดสยอง เมื่อสองปีที่แล้ว Sato กับผู้กำกับชื่อดังอีก 3 คน กำกับหนังอยู่เรื่องหนึ่งครับ ชื่อ Rampo Noir (2005) เรียกว่า หนังเรื่องนี้สร้างชื่อในตลาดหนังบนดินให้กับ Sato ไม่น้อย ทำให้แฟนหนัง Horror ที่ได้เสพผลงานเรื่อง Rampo Noir หันไปตามเก็บผลงานของผู้กำกับทั้งสี่คนนี้กันเลยก็ว่าได้ (Rampo Noir หนัง Horror น่าดูอีกเรื่องที่ได้ superstar อย่าง Tadanobu Asano มานำแสดงด้วย ใครเป็นแฟน Asano คงจะมีหนังเรื่องนี้ไว้ในครอบครองกันแล้วนะครับ ส่วนใครสนใจเรื่อง Rampo Noir น่าจะยังหาซื้อได้ที่ Boomerang นะครับ ลองเช็คดูว่ายังมีเหลือให้ตามเก็บกันอยู่หรือเปล่า)
กลับมาว่าด้วยเรื่อง Naked Blood กันต่อครับ เนื้อเรื่องว่าด้วยครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ ที่มีกันแค่ คุณแม่ และคุณลูกที่ชื่อว่า Eiji ส่วนคุณพ่อนั้นเสียชีวิตแบบปริศนาไปในช่วงที่คุณแม่ท้องคุณลูก Eiji และก่อนคุณพ่อจะจากไปนั้น ยังได้พูดกับคุณแม่ และเจ้า Eiji น้อย ในท้องแม่ว่า เจ้าจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตแน่นอน
Eiji เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน ในวัย 17 ปี Eiji อัจฉริยะถึงขนาดที่ผลิตเซรุ่มตัวหนึ่งขึ้นมา เขาให้ชื่อมันว่า “My Son” เป็นเซรุ่มที่จะช่วยลดความเจ็บปวด ในขณะเดียวกันเซรุ่มตัวนี้ก็จะไปเพิ่มเอ็นโดรฟิน กระตุ้นให้เกิดความสุขขึ้นมาแบบล้นเหลือ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อ คุณแม่ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการทดลองผลิตภัณฑ์ยาคุมกำเนิดตัวใหม่ก่อนออกขายจริง กับผู้หญิงสาวสวยสามคน ไอ้เจ้า Eiji วางแผนนำเซรุ่ม “My Son” ของเขาเข้าไปผสมกับตัวยาคุมกำเนิดของคุณแม่ด้วย ประหนึ่งว่า ยืมสามสาวมาเป็นหนูทดลองของ Eiji นั่นเอง!
เมื่อเซรุ่มของ Eiji ออกทำงาน ผลที่เกิดขึ้นกับสามสาวนั้น มันสุดสยองเกินพรรณนา สาวคนแรกเป็นผู้นิยมความสวยงาม มีความปรารถนาที่ต้องการหุ่นดี ๆ มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสาวคนนี้คือ หล่อนเริ่มต้นลิ้มลองความเจ็บปวดด้วยการเจาะหู เมื่อเธอได้ลิ้มรสชาดความเจ็บปวดแล้วพบว่า มันช่างมีความสุขเกินคำบรรยาย หล่อนบรรจงเอาเครื่องมือทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเข็มหมุด ปากกา ดินสอ เครื่องเงิน หรืออะไรก็ตามที่สามารถเจาะเข้าผิวหนังเธอได้…เจาะตัวเองอย่างมีความสุข!
สาวคนที่สองเป็นสาวที่มีความสุขกับการกิน เมื่อเธอพบว่าชิ้นส่วน อวัยวะของเธอนั่นแหละ เป็นอาหารชั้นเลิศ รสอร่อย เธอเริ่มตั้งแต่ เอามือชุบแป้งทอด แล้วจุ่มลงไปในกระทะร้อนๆ ก่อนจะเอาขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นการลิ้มรสความเจ็บปวดก็เริ่มขึ้น อาทิ ภาพที่เห็นเธอถือมืดหั่นสเต๊กข้างนึง และอีกข้างนึงถือส้อม กำลังหั่นเนื้อบริเวณน้องจิ๋ม แล้วตัดออกมายัดใส่ปาก ทำท่ากินอย่างมีความสุข ก่อนที่จะเอามืด และส้อมทิ่มเข้าไปที่ลูกกะตา ควักออกมากินอย่างสุขใจ!
สาวคนสุดท้ายเป็น สาวที่ Eiji หลงรัก เธอมีปัญหาคือ เป็นโรคนอนไม่หลับ และยังมีประสาทสัมผัสรับรู้เสียงได้ดีชนิดที่ว่าได้ยินเสียงแมลงคุยกัน…แถมในห้องของหล่อนยังมีเครื่องช่วยให้นอนหลับ พ่วงกับเจ้าต้นกระบองเพชร ช่วยสร้างความสุขให้หล่อนคนนี้สามารถพักผ่อนได้ เธอผู้นี้นี่แหละ ที่สร้างฉาก Gore ใน Naked Blood ได้อย่างถึงพริกถึงขิง นอกจากฉาก Gore ที่ว่าแล้ว ยังมีฉาก Erotic ของสาวสวยน่ารักคนนี้อีกด้วย…กระตุ้นกันพอประมาณครับ ที่เหลือลองไปหาดูกันเอาเอง
สำหรับใครที่เบื่อหนังแหวะญี่ปุ่น หรือว่าเสพกันจนเลี่ยนแล้ว ผมมองว่า เรื่องนี้อาจจะให้มุมมองแปลก ๆ เพี้ยนๆ ในส่วนของเนื้อเรื่องได้ไม่น้อยครับ ส่วนเรื่องฉากแหวะ ความสยอง ฉากเซ็กส์สุดกระสันต์นั้น Naked Blood เพียบพร้อมครับ จะว่าไป ผมเคยดูผลงานของ Hisayasu Sato มาไม่กี่เรื่องครับ เท่าที่ดูมา ก็เจ๋งไม่น้อย แต่พอได้มาเสพ Naked Blood แล้วติดอกติดใจ ดูกันมากกว่าหนึ่งรอบกันเลย ได้เสพใน Detail ทั้งการทำภาพกราฟฟิค และความเพี้ยน เหลือล้ำจินตนาการในฉากท้าย ๆ แล้ว ต้องยอมรับในฝีมือของผู้กำกับคนนี้ครับ
“แฟนหนัง Horror / Gore / Splasher / S&M / Sex&Erotic / Nudity ห้ามพลาด!”
โดย ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร
Rating : 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: ดูหนัง Naked Blood, ผลงานผู้กำกับ Hisayasu Sato, ผลงานผู้กำกับหนังโหด Hisayasu Sato, ผู้กำกับ Hisayasu Sato, รีวิวหนังสยอง Naked Blood, หนัง Naked Blood, หนังสยองโหด ญี่ปุ่น
MPD-PSYCHO
Series1. Part 5 & 6 (2001)
นำแสดง: Tomoko Nakajima, Rieko Miura, Nae Yuki, Ren Osugi ,Naoki Hosaka
กำกับ: Takashi Miike / ทาคาชิ มิอิเกะ
เขียนบท: Eiji Otsuka (จากนวนิยายของ Eiji Otsuka)
ประเภท: Horror/Thriller/Crime/Mytery
Case 05. Coronation of Cursed King
Case 06. Ascension of Spirits
เริ่มต้นด้วยความเข้มข้นของคดีการบูชายันฆ่าตัวตายด้วยการเผาตัวเองของเด็กนักเรียนไฮสกูล กลุ่มนักสืบได้ตามรอยเจ้า Nichizono Shinji ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ว่าเหตุการณ์การบูชายันเผาตัวเองจะเป็นฝีมือของเจ้า Nichizono อีกแล้ว รอยต่อทั้งหมดถูกเชื่อมต่อกันเมื่อกลุ่มนักสืบพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นักสืบอามามิยะและพรรคพวกต้องไปพบเจอกับชั้นที่ 13 ในโรงพยาบาลแห่งนั้นที่เป็นศูนย์บัญชาการของ Nichizono เขาและพรรคพวกต้องพบเจอกับร่างใหม่ที่ Nichizono เข้าสิง นั้นคือ ร่างของผู้ชายผู้มีบุคลิกแปลกแยก มีแฟนสาวในแบบ Cyber Girlfriend ผู้ชายท่าทางขี้โรคแต่แท้ที่จริงแล้วเขาคือ Nichizono ผู้บงการการฆ่าตัวตายบูชายันต์โดยการเผาร่างตัวเอง
เนื้อเรื่องในพาร์ตที่ 6 ยังคงต่อเนื่องอยู่ และในพาร์ตนี้เอง เรื่องชี้ไปที่ Machi (เจ้าของ Criminal Research Center) ลูกหลานใน Generation แรกของ Lucy Monostone ผู้นำลัทธิตัวร้าย Machi กำลังจะขยายเผ่าพันธุ์ของ Lucy Monostone ความเกี่ยวพันธ์ระหว่าง Machi, Lucy Monostone ไปจนถึง อามามิยะ และ Nichizono Shinji มาคลายปมกันในพาร์ตนี้ครับ เล่าไปเดี๋ยวจะไม่สนุก ติดตามกันเอาเองในเรื่อง…
ซีรีย์สองตอนสุดท้ายที่พร้อมจะคลี่คลายปัญหาความสงสัยทั้งหมด…
สองตอนสุดท้ายที่ยังคงไม่ท้ายสุดของ MPD-Psycho ซีรียส์สืบสวนสอบสวน ลึกลับ หักปม และสยองในแบบฉบับของ Takashi Miike ทั้งสองตอนสุดท้ายนี้ หนังได้เฉลยปมปัญหา ความลับ ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เริ่มตั้งแต่อามามิยะ , Nishizono Shinji, เจ้าของร้าน Snuff Film ผู้คอยติดตามเรื่องราวของเจ้า Nishizono Shinji เพื่อที่จะได้ภาพในลักษณะของ Reality รูปแบบ Snuff Film ไปจนถึงเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกี่ยวกับ มาจิ สาวผู้เป็นเจ้าของ Criminal Research Center สถาบันที่ มาจิ ตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ทำให้คนดูอาจจะอึ้งไปตาม ๆ กันเมื่อดูกันถึงพาร์ทที่ 6
บทพูดมากมาย…
ใครที่ได้ดูหนังของ Takashi Miike มาแล้ว คงจะทราบดีถึงการใช้ภาพ เสียง และ การถ่ายทำถ่ายทอดเรื่องราวความโหดสยองมากกว่าบทพูด แต่มาใน MPD-Psycho สองพาร์ตสุดท้ายนี้จะถูกถ่ายทอดด้วยบทพูดที่คุณเองอาจจะต้องตั้งใจดูกันเป็นพิเศษหน่อยถึงจะรู้เรื่อง และยิ่งหนังแบบนี้ที่ยังไม่มีลิขสิทธิ์ให้ดูกัน เราคงต้องดูกันในแบบที่เป็นซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ ถ้าใครอังกฤษแข็งพอก็ ok ครับ แต่หากใครยังไม่แข็งแรงพอ ก็แนะนำให้เอาดิกชันนารีไว้ข้างกาย แปลดูไปด้วยจะได้รับรู้เนื้อหาและเสพหนังได้ อรรถรสมากขึ้นครับ (ปัจจุบัน น่าจะมีคนทำซับไทยออกมาแล้วนะครับ อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน ลองหาดู) ยิ่งในพาร์ต 6 ที่เน้นบทพูดให้เราได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พาร์ตที่คลายปมปริศนาในทุกๆ อย่าง
ในแบบฉบับของซีรีย์ MPD-Psycho…
ทั้งฝนจากกราฟฟิค, ร้าน Snuff Film, ห้อง Task Force ในกรมตำรวจ, ฉากบนชิงช้าสวรรค์, ภาพการ์ตูน, เสียงเพลงของ Lucy Monostone ยังคงถูกถ่ายทอดในลักษณะเดียวกันกับสี่พาร์ตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และแบบฉบับของหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง ล่าสุดที่ได้อ่านข่าวเจอคือ หนังเรื่อง MPD-Psycho ถูกทาง Dimension Films ซื้อโปรเจ็กต์นี้เพื่อนำไปทำใหม่ในแบบฉบับของฝรั่งด้วย ผมคนหนึ่งครับ ที่รอติดตามหนังในแบบที่ฝรั่งจะนำไปสร้างอยู่ ไม่รู้ว่าองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในแบบฉบับของลุง Takashi Miike จะถูกนำไปถ่ายทอดในแบบฉบับของ ฝรั่งยังไงบ้าง คงต้องรอดูกันไปครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies M - O Tagged with: MPD Psycho ของ Takashi Miike, MPD Psycho ซีรีส์ 5 - 6, ผลงานผู้กำกับ Takashi Miike, ผู้กำกับ Takashi Miike