The Dentist (1996)
นำแสดง: Corbin Bernsen (Dr. Alan Feinstone), Linda Hoffman (Brooke Feinstone), Michael Stadvec (Matt) , Ken Foree (Detective Gibbs)
กำกับ: Brian Yuzna
เขียนบท: Dennis Paoli, Stuart Gordon
ประเภท: Horror
คุณคิดยังไงกับการทำฟันบ้าง???
..สำหรับผม แค่คิดก็เสียวแล้ว นึกถึงเครื่องมือต่างๆ นานา รวมทั้งเสียงกรอฟันสะท้านประสาท แล้วมันชวนหลอนเสียยิ่งกระไร The Dentist ภาพยนตร์กระชากอารมณ์ความกลัว ความเสียว สยองในการทำฟันมาเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกใกล้ตัวของคนดูได้อย่างน่าติดตาม
เนื้อเรื่องเริ่มต้นจากดอกเตอร์ไฟน์สโตน (Corbin Bernsen) หมอฟัน ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีบ้านหลังโต และมีเมียสาวสวยสุดเพอร์แฟ็ก หนังเริ่มต้นด้วยดนตรีคลาสสิกบรรเลงประกอบการดำเนินเรื่องด้วยการเล่าเรื่องย้อนอดีตให้เห็นถึงที่มาของ The Dentist ไอ้หมอฟันโรคจิตที่(โคตร)รักษาความสะอาด จนทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโรคจิต เห็นอะไรที่สกปรกไม่ได้จะต้องอารมณ์ขึ้นทันที จุดเปลี่ยนที่ทำให้ดอกเตอร์ไฟน์สโตนกลายเป็นหมอฟันโรคจิตแบบสุดขั้ว ก็มาจากเมียคนสวย (Linda Hoffman) ไปมีชู้กับเจ้าเด็กคนล้างสระน้ำ (Matt) โดยผู้กำกับ Brian Yuzna สร้างบุคลิกของ Matt ให้ขัดแย้งกับดอกเตอร์ไฟน์สโตนอย่างสุดขั้ว ระหว่างความสกปรกกับความสะอาด…เนื่องเรื่องคงไม่ต้องสาธยายให้มากเรื่อง หนังประเภทนี้คงเดาเนื้อเรื่องกันได้ไม่ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้ลองติดตามคือ การตัดต่อภาพ การใช้มุมกล้องที่ทำให้คนขวัญอ่อนปิดตา ไม่อยากเห็นภาพดังกล่าวได้ไม่ยาก รวมถึงประโยคต่างๆ ในเรื่องที่ค่อนข้างสร้างสรรค์บุคลิกของดอกเตอร์ไฟน์สโตนให้โรคจิตคลาสสิกได้อย่างลงตัว อาทิเช่น “I am an instrument of perfection and hygiene. The enemy of decay and corruption, a dentist…and I have a lot of work to do” แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ก็พอที่ทำให้เราเดาเรื่องต่างๆ ออกแล้ว
The Dentist อาจจะไม่ใช่หนัง Horror ที่มีความลงตัวมากมาย แต่ตัวหนังก็แสดงให้เห็นถึงความคลาสสิกของการดำเนินเรื่อง การทำให้คนดูจำส่วนต่างๆ ของหนังได้ โดยเฉพาะประโยคที่สร้างความแปลก สยองเจือความขบขันได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชมเชยของผู้เขียนบท อีกทั้งหนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลถึงสองรางวัลคือ รางวัล Jury Grand Prize ของประเทศสวีเดนในงาน Sweden Fantastic Film Festival และ รางวัล Best Special Effects จากงาน Fantafestival
ผมคิดว่าคอหนัง Horror คงไม่พลาดเรื่องนี้แน่นอน สำหรับใครที่เพิ่งจะเริ่มดูหนังประเภทนี้ก็ลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดูกันให้ได้ หนึ่งในหนังประเภทที่ขึ้นแท่นเป็นหนังคัลต์ตลอดกาล…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies D - F Tagged with: ผลงานผู้กำกับ Brian Yuzna, รีวิวหนัง The Dentist, รีวิวหนังสยอง, สยองขวัญถอนฟัน
Dead Birds (2004)
นำแสดง: Henry Thomas (William), Nicki Aycox (Annabelle), Isaiah Washington (Todd), Michael Shannon (Clyde), Patrick Fugit (Sam), Mark Boone Junior (Joseph)
กำกับ: Alex Turner
เขียนบท: Simon Barrett
ประเภท: Horror / Thriller
เรื่องราวที่ฉายภาพความโหดร้ายของสงครามกลางเมือง อเมริกา โดยที่มีพวกทหารนอกรีต วางแผนปล้นทอง หวังหนีไปเสวยสุขในแม็กซิโก โดยผู้กำกับ Alex Turner พยายามปูภาพ ของความสัมพันธ์ของตัวเอกแต่ละคนก่อนที่จะผูกเรื่องเข้าสู่ความสยองในแบบที่ทำให้คุณแหวะ ผวาเป็นระยะๆ ในหนังช่วงหลังของเรื่องที่เป็นฉากในบ้านพักกลางทุ่ง ตัวเอกของเรื่องแต่ละคน เริ่มพบเจอกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่พวกเขาเองไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร กันแน่ ตัวบทเขียนให้นักแสดงแต่ละคนที่มีคาเร็คเตอร์ต่างกันพบเจอสิ่งสยองในแบบต่างๆ กัน ซึ่งรับรองได้ว่าฉากสยองของแต่ละคนที่สร้างออกมานั้น มันต้องติดตาคุณอย่างแน่นอน เช่น ฉากที่ Clyde (Michael Shannon) ถูกจับตรึงกางเขน ฉากที่ Todd (Isaiah Washington) เจอภาพหลอน จนตัวเขาเองถึงกับบอกตัวเองว่า “ไม่สามารถที่จะเชื่อในสิ่งที่ เขาเห็นได้อีกต่อไปแล้ว” ถ้าเป็นหนังแนวเอเซียผมเชื่อว่า อาจมีการนำเอาเรื่องของผลกรรมมา ผสมการลงโทษในแบบต่างๆ ที่ตัวละครต้องพบเจอ…
คงไม่ต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังนะครับ อยากให้ลองติดตามผลงานของผู้กำกับคนนี้ดู ผม ว่าเขามีไอเดียในการสร้างฉากสยองขวัญได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อย่างในเว็บไซต์ imdb.com นักวิจารณ์บางท่านถึงกับบอกว่า Dead Birds เป็นหนังในแบบ ‘Modern Horror’ ที่เป็น ตัวอย่างที่ดีในการสร้างสรรฉากสยองในแบบยุคใหม่ที่ควรจะเป็น หรือควรจะเดินตามรอยของ Alex Turner หลายคนหากได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมว่า Alex เอง น่าจะได้รับอิทธิพลจากหนังซีรี ย์จำพวก X-Files มาไม่น้อย ส่วนผีฟันแหลม ตาโบ๋ หน้าขาว หรือผีเด็กเนี่ย ผมนึกถึงผีญี่ปุ่น/ เกาหลี พวกจู ออน ครับ ผมว่า เขาก็ทำออกมาได้สยองดี แม้จะมีกลิ่นอายคาเร็กเตอร์ของผีญี่ปุ่น ไม่น้อย แต่สิ่งที่เขานำมาผสมคือ กลิ่นความเป็นหนังในแบบซอมบี้ และอารมณ์หนังแหวะที่เน้น เลือด! เลือด! และเลือด! ผสมพันธุ์กันออกมาจนได้อารมณ์สยองแหวะในแบบของ Alex เอง
พูดถึง Alex Turner เขาเป็นผู้กำกับหนังสั้นที่สร้างชื่อจากเรื่อง Disposal (2003) หนัง Drama/Comedy สุดคลาสสิกที่ถูกขึ้นหิ้งให้เป็น Best Short Film และ Chuck (2000) ใครสนใจฝีมือของผู้กำกับไฟแรงคนนี้ล่ะก็ ลองหาดูกัน…
โดย ศร-รณ (aka กระตุกจัง)
Rating: 5.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies D - F Tagged with: รีวิวหนัง Dead Bird, รีวิวหนังผี, รีวิวหนังสยอง, หนังสยองขวัญ
Dark City (1998)
Dark Empire | Dark World | เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน
นำแสดง: Rufus Sewell (John Murdoch), William Hurt (Inspector Frank Bumstead), Kiefer Sutherland (Dr. Daniel P. Schreber), Jennifer Connelly (Emma Murdoch/Anna), Richard O’Brien (Mr. Hand), Ian Richardson (Mr. Book), Bruce Spence (Mr. Wall), Colin Friels (Det. Eddie Walenski), John Bluthal (Karl Harris), Mitchell Butel (Officer Husselbeck), Melissa George (May), Frank Gallacher (Chief Insp. Stromboli), Ritchie Singer (Hotel Manager/Vendor), Justin Monjo (Taxi Driver), Nicholas Bell (Mr. Rain)
กำกับและเขียนบท: Alex Proyas
ประเภท: Sci – Fi / Mystery / Thriller / Noir
Jennifer Connelly ครับ…เธอคนนี้แหละ เป็นคนชักชวนให้ผมดูหนังเรื่องนี้ ฮ่า ฮ่า เพ้อเจ้อไปตามเรื่องตามราว ผมติดตามผลงานของสาวคนนี้มานานครับ ดูเกือบทุกเรื่องที่เธอแสดง ล่าสุดผมไปนั่งดู Blood Diamond ที่แกสท์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในตรอกข้าวสาร ทำให้ผมนึกที่จะหยิบเรื่อง Dark City ขึ้นมาดูอีกครั้ง เกือบสิบปีแล้วนะครับ เธอยังคงสวยไม่สร่าง ผอมลงหน่อยนึง แก้มตอบไปนิด แต่ก็ยังสวยตรึงใจผมเหลือเกิน…เฮ้อ คนอะไร ตาสวยจริงๆ เฮ้อ เฮ้อ -_-‘
เรื่องย่อ: เรื่องราวของ จอห์น เมอร์ด็อค ชายหนุ่มที่สูญเสียความทรงจำเกือบทั้งหมด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับการไล่ล่าของนักสืบบัมสตีด ที่ต้องการตัวเขาในคดีฆาตรกรรมต่อเนื่อง ระหว่างการหลบหนีของเมอร์ด็อค เขาพยายามที่จะไขปริศนาที่แท้จริง ซึ่งทำให้เขาไปพัวพันกับขบวนการใต้ดินที่สามารถหยุดเวลาด้วยการแพ่งกระแสจิต มีเพียงเขาคนเดียวที่ขัดขวางขบวนการนี้ได้ โดยมีคุณหมอเชอร์บเบอร์ ผู้ลึกลับคอยช่วยเหลือ และความรักของเขากับเอ็มม่า
ทำไมเมืองนี้ไม่มีเวลากลางวัน…
หนังของ Alex Proyas เรื่องแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับผู้กำกับคนนี้คือ The Crow (1994) ครับ หนังสนุกอีกเรื่องเมื่อหลายปีก่อน จนมาถึง Dark City ที่ทำให้ Proyas ถูกจับตามองในความสามารถของการกำกับหนัง Sci-Fi ยิ่งมาตอกย้ำความสำเร็จกับหนังฟอร์มยักษ์ในปี 2004 กับเรื่อง I, Robot หนังที่มีพระเอกผิวหมึก มากความสามารถอย่าง Will Smith มานำแสดงให้ (ชอบหมอนี่ กับบทบาทของ Chris Gardner ในเรื่อง The Pursuit of Happyness จังเลย ใครสนใจหนัง Drama แนะนำให้ไปสอยมาดูกันครับ) เรียกได้ว่าจากหนังเรื่อง I, Robot นี่เอง ทำให้ Alex Proyas กลายมาเป็นผู้กำกับฝีมือทองอีกคนหนึ่งของวงการฮอลิวู๊ดกันไป
กลับมาสู่เรื่อง Dark City กันครับ…สัญลักษณ์ เป็นอาวุธสำคัญของ Dark City อันที่จริง หนังเรื่องนี้ใช้สัญลักษณ์เป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราว หรือช่วยสนับสนุนให้เราได้เข้าใจความหมายของหนังได้มากขึ้นในหลายๆ ฉาก หลายๆ ตอน อาทิ นาฬิกา หรือ จะเป็นชื่อของนักล่าชั้นใต้ดินทั้งหลาย จะว่าไป Dark City เป็นหนังที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความเป็น Sci – Fi แบบ Noir ได้ชัดเจนดี ทั้งอารมณ์ บรรยากาศ รวมไปถึงตัวละคร และกราฟฟิคคอมพิวเตอร์ เมื่อหลายปีที่แล้ว แหม..ทำได้ดีไม่น้อยครับ
หนังที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในอิทธิพลสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ครับ อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายทีเดียว…DVD 99 บาท สนนราคาโดย Right Beyond สนับสนุนหนังมีลิขสิทธิ์..เก็บขึ้นหิ้งกันได้เลยครับ
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.50 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies D - F Tagged with: review Dark City movie, รีวิว Dark City, รีวิวหนัง Sci - Fi, หนัง Sci fi
Dark Ride (2006)
บ้านหุ่นเชือดอำมหิต
นำแสดง: Jamie-Lynn DiScala (Cathy), Patrick Renna (Bill), David Clayton Rogers (Steve as David Rogers), Alex Solowitz (Jim), Andrea Bogart (Jen), Jennifer Tisdale (Liz), Chelsey Coyle (Samantha), Brittney Coyle (Colleen), Dave Warden (Jonah)
กำกับ: Craig Singer
เขียนบท: Robert Dean Klein, Craig Singer
ประเภท: Horror
เรื่องย่อ: สองพี่น้องฝาแฝดถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในบ้านหุ่นผี “Dark Ride” ณ สวนสนุกแห่งหนึ่งและฆาตกรถูกจับได้ มันถูกขังไว้ในโรงพยาบาลโรคจิต 10 ปีต่อมาฆาตกรโรคจิตได้หนีออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิต และได้กลับมาที่บ้านหุ่นผี “Dark Ride” อีกครั้ง และได้พบกับกลุ่มวัยรุ่น 6 คนที่ได้แอบเข้ามาที่นี่ หนุ่ม สาว 6 คนต้องหวาดผวา เมื่อฆาตกรโรคจิตออกตามล่า และฆ่าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม สุดท้ายจะมีใครรอดออกจากบ้านหุ่นผีที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญแห่งนี้ได้หรือไม่ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และมีปมอะไรซ่อนอยู่หรือไม่…
หนังสยองขวัญเต็มๆ เรื่องแรกของผู้กำกับ Craig Singer หลังจากที่ผลงานเรื่องก่อน ๆ ของเขาจะออกแนวหลากหลายที่ผสมมุขตลกๆ ฮาเล็กๆ Dark Ride หนังสยองขวัญแห่งปี 2006 เป็นที่จับตามองอยู่ไม่น้อย เกี่ยวกับผู้กำกับ Craig Singer ที่หันมาทำหนังสยองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ตัวหนังไม่ย่ำแย่ ผิดหวัง ล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ ขนหัวชูชันตั้งโด่ ตั้งเด่ครับ พล๊อตเรื่องก็ใช้ตามมาตรฐานสากลหนังสยอง ที่มีเจ้าฆาตกรโรคจิตสุดโหดอาศัยอยู่ใน บ้านผีสิง Dark Ride ในสวนสนุก แล้วก็ดันมีเจ้าเด็กวัยรุ่นขาโจ๋เข้าไปเล่นซุกซนสนุกสนาน ทั้งพี้ยา เสพเซ็กส์ จบพล๊อตด้วยการถูกฆาตกรโหดตามล่า ฆ่าล้างโคตร นั่นแหละครับ เนื้อเรื่องทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น
Dark Ride ทำได้ดีตรงบทตรง กระชับ มีหักมุมนิดหน่อยในส่วนท้ายของเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะเดากันไม่ออกเลย หนังเดาง่ายครับ ดูแบบสนุก ๆ ไม่คิดมากหน่ะดีที่สุด ฉากสยองแหวะมีให้เห็นในช่วงครึ่งหลังของเรื่องอยู่ตลอดครับ แหวะได้ที่ตามมาตรฐานการผลิตออกมาจากสตูดิโอของ Lionsgate มีฉากเรท R อยู่นิดหน่อย ดูพอกระชุ่มกระชวยสวยงามสายตา เรียกว่า ดูได้ไม่เบื่อ แต่ไม่หวือหวา…
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 3.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies D - F Tagged with: review Dark Ride 2006, review Dark Ride movie, review Horror Movie, รีวิวหนังสยอง Dark Ride, รีวิวหนังสยองขวัญ
Daybreakers (2009)
วันแวมไพร์ครองโลก
กำกับและเขียนบท: Michael Spierig และ Peter Spierig
นำแสดง: Ethan Hawke (Edward Dalton), Claudia Karvan (Audrey Bennett),Michael Dorman (Frankie Dalton), Harriet Minto-Day (Lisa Barrett), Jay Laga’aia (Senator Turner), Damien Garvey (Senator Westlake), Sahaj Dumpleton (Homeless Vampire), Allan Todd (Businessman), Gabriella Di Labio (Businesswoman), Ben Siemer (Police Officer), Peter Welman (Police Officer)
ประเภท: Sci-Fi / Horror / Thriller / Action
ปีค.ศ. 2019 หลังเกิดโรคระบาดร้ายแรงทำให้มนุษย์เกือบทั้งหมดต้องกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์ มนุษย์บางส่วนที่เหลืออยู่ก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะถูกเจ้าแวมไพร์ไล่ฆ่า “เลือด” อาหารอันโอชะ เมื่อมนุษย์ใกล้สูญพันธุ์หมดในโลกของแวมไพร์ ภาวะการขาดแคลนเลือดจึงเกิดขึ้น แวมไพร์มากมายต่างหิวกระหายจนก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่ยวายในสังคม
Edward Dalton (นำแสดงโดย Ethan Hawke) นักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยค้นคว้าหาสิ่งที่มาทดแทนเลือด เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของแวมไพร์ต่อไป เขาเป็นผู้ที่ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร และเขาเป็นผู้ที่มีความปรารถนาอยู่ตลอดเวลาในการที่จะกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้พบกับกลุ่มมนุษย์ผู้รอดชีวิต และหาทางกลับไปสู่ความเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งค้นพบตัวยาสำคัญที่จะทำให้แวมไพร์กลับมาเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง
Daybreaker วันแวมไพร์ครองโลก
Daybreaker ผลงานการกำกับของสองพี่น้อง Spierig เล่าเรื่องราวของโลกมนุษย์ที่กลายพันธุ์เป็นแวมไพร์เกือบหมดโลก ไม่วายที่จะเสียดสีด้วยมุมมองของชนชั้นวรรณะที่ถูกแบ่งระหว่างแวมไพร์ชั้นสูงกับชั้นต่ำ ประชดประชันด้วยเรื่องราวของการแก่งแย่ง “เลือด” อาหารอันโอชะระหว่างแวมไพร์กับแวมไพร์ หรือแม้กระทั่งการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ เพื่อให้ได้มาถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างต้องการ บทภาพยนตร์ Action Sci-Fi / Horror เรื่องนี้ ผมว่าทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียวครับ มุมมองการประชดประชันเสียดสีสังคมโลกมนุษย์ในปัจจุบันได้ดีเลย เรามองภาพในภาพยนตร์และหวนกลับมามองถึงภาพของสังคมในปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปกับแวมไพร์กระหายเลือด บ้าอำนาจ และกระหายในสิ่งที่ตนต้องการจนลืมความเป็นมนุษย์ปถุชนคนธรรมดา
ถ้ามองในมุมของคนไทยเรา Edward Dalton เป็นตัวแทนของผู้รู้ ผู้ตื่นที่รู้จักความเป็นมนุษย์ รู้จักทางสายกลาง และรู้จักคำว่าพอ Frankie Dalton น้องชายของ Edward และเป็นนายทหารผู้อ่อนแอต้องการกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์เพื่อต้องการความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ต้องการพลัง ต้องการให้คนชื่นชม แต่ทว่าในท้ายที่สุดก็รับรู้และเข้าใจในเจตนาของพี่ชาย ซึ่งเขาเองก็ยอมเสียสละตัวเองเป็นยารักษาให้แวมไพร์กลับคืนสู่ร่างของมนุษย์อีกครั้ง สำหรับผมแล้วบทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาน่าสนใจดีครับ เสียอย่างเดียวคือตอนจบของเรื่องที่มันปิดการขายแบบง่ายไปหน่อย (บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจจากบทภาพยนตร์ดี ๆ ประชดเสียดสีสังคมและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์อย่าง 28 Days Later หรือเปล่านะ)
นอกจากเรื่องบทภาพยนตร์แล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ทำออกมาในระดับกลางๆ ครับ ทั้งงาน Action ภาพของโลกในอนาคต หรือมุมมองของแวมไพร์ที่ไม่ได้เอามาบอกเล่าในสไตล์ของแวมไพร์เดิม ๆ ที่เราเห็นทั่วๆ ไป ภาพแหวะ เลือดสาดก็มีอยู่บ้างพอเป็นน้ำจิ้มสำหรับคนชอบเลือด ชอบความรุนแรง
ถ้าอยากเห็นแวมไพร์กัดกันเลือดสาด ในแบบหนังซอมบี้ล้างผลาญก็คงไม่สะใจล่ะครับ แต่หากอยากเสพมุมมองการนำเสนอเนื้อหาผ่านหนังแวมไพร์ครองโลกที่เข้ากันได้ดีกับสังคมโลก หรือแม้แต่สังคมไทยตอนนี้ ก็ไปดูได้เลยครับ สนุก ๆ เพลิน ๆ (ตอนนี้ยังไม่ออกจากโรงภาพยนตร์มั้ง ลองเช็คดูครับ)
ปล: สาวๆ ที่กรี๊ดในความเท่ห์ของเฮีย Ethan Hawke ก็ไม่ต้องคิดมากครับ ไปดูได้เลย พี่เค้ายังเท่ห์เหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย
โดย ศร-รณ (aka ถั่วเขียว ณ ทุ่งสังหาร)
Rating: 4.00 / 6.00
Posted in Horror Movie Reviews, Horror Movies D - F Tagged with: รีวิวหนังสยอง Daybreakers, รีวิวหนังแวมไพร์, หนังแวมไพร์